ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 144-145
มิหนำซ้ำเทียบกับเมื่อคราวสงครามซีเป่ย สภาพการณ์ของราษฎรที่ออกมาต้อนรับสองฟากทางยังต่างออกไป เพราะครั้งนี้ชุยสิงโจวปฏิเสธพิธีเดินทัพที่ฮ่องเต้ตั้งใจจะจัดให้เขาไปอย่างอ้อมค้อม
ชุยสิงโจวรู้สึกว่าตนเองมีชื่อเสียงในหมู่ราษฎร ถึงเวลาออกเดินทางจะไม่อาจควบคุมราษฎรริมสองฟากทาง เขาไม่อยากโอ้อวดแสนยานุภาพตั้งแต่ยังไม่ทันออกรบให้กลายเป็นจุดอ่อนให้พวกสกุลสือและคนเก่าแก่ของภูเขาหยั่งซานเล่นงาน
ในวันนั้นให้กองทัพใหญ่ตั้งทัพอยู่นอกเมืองหลวง แล้วออกเดินทางไปเงียบๆ ก็พอ ลดทอนความไม่จำเป็นไปได้มาก
ถึงแม้ท่านอ๋องจะคิดเช่นนี้ แต่ตอนที่หลิ่วเหมียนถังเข้าวังไปบอกลาฮองเฮากลับไม่ได้พูดเช่นนั้น “ท่านอ๋องไม่อยากให้ฝ่าบาททรงสิ้นเปลืองเงินทอง ด้วยห่วงเรื่องที่คลังหลวงไม่ได้อุดมสมบูรณ์นัก ควรจะทุ่มกำลังทั้งหมดไปบนคมดาบ หากรับพระเมตตาจากฝ่าบาท ให้ฝ่าบาทเสด็จออกมาส่งด้วยพระองค์เองจริงๆ พิธีการเดินทัพนี้จำเป็นต้องมีสุราไหใหญ่ เนื้อวัวเนื้อแพะกองเป็นภูเขา! มีส่วนใดที่ไม่ต้องเปลืองเงินเยอะบ้าง! หากมีเงินเหลือเช่นนั้นควรนำไปตระเตรียมเสบียง เตรียมรองเท้าทหารและยุทโธปกรณ์ให้มากสักหน่อย คุ้มค่ากว่ากินอาหารมื้อใหญ่มากนัก ฮองเฮาทรงเห็นด้วยกับหลักการนี้หรือไม่เพคะ”
สือฮองเฮาฟังความนัยของหลิ่วเหมียนถังที่คิดแลกเงินทองออก เพียงยิ้มน้อยๆ กล่าว “พวกเจ้าสามีภรรยาช่างเป็นคนตรงๆ กันทั้งนั้น ไม่เหมือนพวกที่สนใจแต่ชื่อเสียง อยากโอ้อวดแสดงบารมี ได้ ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปทูลฝ่าบาทให้นำเงินทองจัดพิธีเดินทัพส่วนที่ประหยัดไปได้แบ่งเข้าไปในเบี้ยทหารแทน”
การสนทนากับคนที่มีความคิดอ่านทะลุปรุโปร่งก็รวดเร็วเช่นนี้ หลิ่วเหมียนถังย่อมขอบคุณพระเมตตาของทั้งสองพระองค์แทนท่านอ๋องก่อนแล้ว
แต่เมื่อสือฮองเฮาได้ยินว่าหลิ่วเหมียนถังจะติดตามไหวหยางอ๋องไปเป่ยไห่ กลับเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนโยน “ตอนแรกฝ่าบาทได้ยินขุนนางชุยบอกว่าพระชายาจะพาบุตรชายกับฉู่ไท่เฟยกลับไปเจินโจวด้วยกัน พระองค์ถึงได้ทรงอนุญาต แต่ตอนนี้เจ้ากลับไม่สนใจความเหน็ดเหนื่อยของการเดินทาง ติดตามท่านอ๋องไปยังสถานที่ทุรกันดารเช่นนั้น เกรงว่า…ฝ่าบาทจะ…ไม่ทรงอนุญาต”
ช่วงก่อนหน้านี้ข่าวลือเกี่ยวกับลู่เหวินแห่งภูเขาหยั่งซานกับคุณชายจื่ออวี๋แพร่สะพัดอย่างกว้างขวางเพียงนั้น หลิ่วเหมียนถังคาดเดาว่าสือฮองเฮาย่อมได้ยินบางอย่างมาเหมือนกัน
แต่ว่าฮองเฮาผู้ใจกว้างร่างท้วมพระองค์นี้เป็นคนที่ในใจยอมรับเรื่องในอดีตได้ ไม่เคยแสดงออกมาสักนิดเดียว ทว่าประโยคเมื่อครู่นี้ก็แสดงบางอย่างออกมาอย่างชัดเจน
หลิ่วเหมียนถังเพียงทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ยิ้มน้อยๆ เอ่ย “ความจริงหม่อมฉันทราบว่าเวลาแม่ทัพออกไปสู้รบ ควรเหลือคนในครอบครัวไว้ที่เมืองหลวงเป็นตัวประกัน อย่างไรก็ตามฝ่าบาททรงทราบถึงจิตใจอันจงรักภักดีของท่านอ๋อง ยอมปล่อยคนในครอบครัวท่านอ๋องกลับไปเจินโจว พระทัยกว้างที่ไม่ใช่คนขี้ระแวงสงสัยเช่นนี้ เห็นมีเพียงฮ่องเต้ผู้ทรงธรรมและทรงพระปรีชาเท่านั้นจึงจะมีได้ เพียงแต่หม่อมฉันเคยสาบานร้ายแรงว่าในเมื่อแต่งให้กับแม่ทัพผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นภูเขาดาบหรือทะเลเพลิงก็จะติดตามเขาไปไม่ว่าเป็นหรือตาย หวังว่าฮองเฮาจะทรงช่วยขอร้องฝ่าบาท ให้ความปรารถนาโง่เขลาของหม่อมฉันเป็นจริงด้วยเพคะ”
สือฮองเฮารับฟังอย่างนิ่งเงียบ ก่อนยิ้มน้อยๆ กล่าว “ไหวหยางอ๋องบำเพ็ญบุญกุศลมาจากชาติก่อน ถึงได้มีสตรีที่มีความรักลึกซึ้งอย่างเจ้าติดตามไม่ห่างหาย เคยถูกสตรีอย่างเจ้ารักใคร่ คงจะเป็นรสชาติที่ยากจะลืมไปทั้งชีวิต…”
หลิ่วเหมียนถังเงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองสีหน้านิ่งสงบของสือฮองเฮาแล้วเอ่ย “ขุนนางทุกคนในราชสำนักมีใครไม่อิจฉาฝ่าบาทที่ได้อภิเษกสมรสกับฮองเฮาผู้ปรีชาอย่างพระองค์บ้าง ดั่งคำที่ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว แต่เพราะว่าฝ่าบาททรงมีพระองค์ถึงได้ทรงผ่านพายุฝนซัดกระหน่ำ ฟื้นฟูต้าเยี่ยนขึ้นมาได้อีกครั้ง ความรักมังกรหงส์ที่ร่วมลงแรงไปด้วยกันเช่นนี้ ใช่อะไรที่คู่สามีภรรยาธรรมดาอย่างหม่อมฉันกับท่านอ๋องจะเทียบได้หรือเพคะ”
คนที่ฉลาดเฉลียวไม่ใช่เพียงจะพูดคุยด้วยง่ายเท่านั้น บางครั้ง…ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเปิดเผยมากเกินไป
สือฮองเฮาฟังเข้าใจความหมายในคำพูดนี้ของหลิ่วเหมียนถัง จึงยิ้มแย้มลุกขึ้นพร้อมประคองหลิ่วเหมียนถังขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อพระชายาพูดเพียงนี้ คิดว่าฝ่าบาทก็ไม่สะดวกจะจับแยกคู่สามีภรรยาอย่างพวกเจ้าเช่นกัน”
ในตอนที่หลิ่วเหมียนถังเตรียมขอตัวออกจากวัง สือฮองเฮาคล้ายเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงเดินเยื้องย่างผ่านอุทยานหลวงเป็นเพื่อนนางพลางเอ่ย “ชิงโจวอยู่ไม่ห่างจากเจินโจว พระชายาเองก็นับเป็นคนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของข้า ดังนั้นเวลาพูดกับเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนเวลาคุยกับฮูหยินสูงศักดิ์คนอื่น เจ้าเองก็รู้ว่าบิดาข้ามีบุตรสาวอีกคนตอนอายุมาก โปรดปรานเอ็นดูน้องสาวผู้นั้นของข้ามาก ส่งผลให้นางอายุยังน้อยทว่าชอบคิดเรื่องที่ไม่ควรคิด ตั้งแต่เล็กจนโตนางเองก็เป็นคนที่ขออะไรได้อย่างนั้น ทุกวันนี้ข้ายังเป็นฮองเฮา สกุลสือกลายมาเป็นพระญาติ บางครั้งอาศัยความโปรดปรานของฝ่าบาท เวลาพูดจามักไม่ระมัดระวัง แม้ข้าจะเป็นพี่สาว แต่ประโยคที่ตักเตือนนาง นางเองก็ฟังครึ่งไม่ฟังครึ่ง ทั้งบิดายังทะนุถนอมบุตรสาว เมื่อหลายวันก่อนคล้ายพูดจาล่วงเกินท่านอ๋อง…เขาเองก็ฝากฝังข้ามาขออภัยท่านอ๋องแทน”
เรื่องเหล่านี้ที่สือฮองเฮากล่าว หลิ่วเหมียนถังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงตอบรับไปก่อน สุดท้ายสือฮองเฮาถอนหายใจยาว “ก่อนที่ข้าจะแต่งงานก็เป็นเพียงบุตรสาวอนุของสกุลสือ ไม่ค่อยสนิทสนมกับบิดา พระชายาเพียงบอกกับท่านอ๋องด้วยว่าข้าคือข้า สกุลสือคือสกุลสือก็พอ”
หลิ่วเหมียนถังฟังประโยคนี้คล้ายว่ามีความนัยแฝง แต่สือฮองเฮาไม่ได้เอ่ยต่อ นางเองก็ไม่สะดวกถาม
เพราะว่าใกล้จะเดินทัพ ปกติชุยสิงโจวจึงอยู่แต่ในกองทัพ น้อยครั้งที่จะกลับมายังจวน ทว่าวันนี้กลับกลับมากอดบุตรชายแต่หัววันอย่างหาได้ยาก
ตอนที่หลิ่วเหมียนถังเดินไปถึงเรือนในก็ได้เห็นภาพเขากำลังอุ้มเสี่ยวอี้เอ๋อร์แกว่งกิ่งไม้เล่นอยู่ใต้ต้นท้อพอดี
นางไม่ได้รีบร้อนเปลี่ยนชุดแต่เดินเข้าไปหาชุยสิงโจวเลย นอกจากหยอกล้อบุตรชายเล่นก็บอกต่อคำพูดของสือฮองเฮาในวันนี้ด้วย
ชุยสิงโจวได้ยินแล้วไม่รู้สึกประหลาดใจ เพียงอธิบาย “เมื่อไม่กี่วันก่อนพระสัสสุระสืออี้ควนมาคุยกับข้า บอกว่าการเดินทางไปเป่ยไห่ครั้งนี้ของข้าออกจะใช้ประโยชน์ผิดที่ พระสัสสุระรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ ทั้งยังบอกว่าคำสั่งนี้ใช่ว่าจะระงับไม่ได้ แต่ว่าครั้งนี้มีคนเก่าแก่ของภูเขาหยั่งซานผลักดัน เขาเองก็ไม่สะดวกจะแก้สถานการณ์ให้ข้า เขามีบุตรสาวคนเล็กคนหนึ่งชื่นชมข้ามานาน ไม่ยอมแต่งงานเสียที หากสองครอบครัวเกี่ยวดองกันได้ เขากลายมาเป็นผู้อาวุโสข้าก็จะสามารถช่วยข้าได้อย่างผ่าเผย…วันหน้าในราชสำนักต่างฝ่ายต่างดูแลกัน เวลาทำอะไรก็สะดวก”
พอได้ยินชุยสิงโจวเล่าเช่นนี้ หลิ่วเหมียนถังเข้าใจขึ้นมาทันที นางดึงเสื้อกันลมมาพร้อมถลึงตาเอ่ย “สกุลสือหน้าด้านเกินไปหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าท่านแต่งภรรยาแล้ว กลับแนะนำคุณหนูบ้านตนเองอย่างหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้ หรือเขาจะตัดใจให้บุตรสาวเป็นอนุได้ลง?” พูดมาถึงตรงนี้หลิ่วเหมียนถังชะงักไปแล้วกล่าวต่อทันที “ไม่สิ! น้องสาวของฮองเฮาจะเป็นอนุได้อย่างไร เขายุแยงให้ท่านหย่าภรรยาเอก หรือว่าลดขั้นภรรยาเอกลงเป็นอนุกัน”
ชุยสิงโจวส่งตัวเสี่ยวอี้เอ๋อร์ที่กำลังพ่นฟองน้ำลายไปในอ้อมกอดหลิ่วเหมียนถังก่อนตอบ “ผู้อาวุโสสือยังไม่ทันพูดจบข้าก็ไล่เขาออกจากค่ายทหารไปแล้ว ข้าไม่สนใจคำพูดของเขาสักนิด เจ้าจะถือสาไปไย”
อาจเพราะสัมผัสได้ว่ามารดาอารมณ์ไม่ดี มืออ้วนป้อมของเสี่ยวอี้เอ๋อร์จึงคอยปะป่ายไปมาบนใบหน้ามารดาไม่หยุด ริมฝีปากกระจุ๋มกระจิ๋มเปียกชื้นเองก็แปะซอกคอนางไปมา