คำสั่งนี้พอประกาศลงมา เหล่าขุนนาง…โดยเฉพาะผู้ที่มีบุตรหลานอยู่ในกองทัพต่างโห่ร้องทันทีว่าฮ่องเต้ปราดเปรื่องปรีชา ตามด้วยคำสรรเสริญเยินยออีกสารพัดแบบ ชุยโย่วที่อยู่ด้านข้างใบหน้าหมองคล้ำดุจสีดิน เห็นฟ้าดินพลันหมุนคว้าง…ในเมื่อครั้งนั้นฮ่องเต้วางใจมอบบุตรบุญธรรมวัยสิบห้าของพระองค์มาอยู่ในมือเขา เหล่าขุนนางก็ย่อมจะวางใจโยนบุตรหลานมาให้เขา ‘พ่อลูกอ่อนป้ายทอง’ ผู้นี้เช่นกัน ความคิดอ่านของทุกๆ คนก็เหมือนๆ กันนั่นล่ะ
ในหมู่ขุนนางสำคัญ ชุยโย่วมีมนุษยสัมพันธ์ดีเป็นอันดับหนึ่งอันดับสอง
ขุนนางทั้งหลายชื่นชอบเขา เพราะเขาไม่ชอบชิงอำนาจแย่งอิทธิพล ในการโต้เถียงหลายเรื่องเขาล้วนยิ้มแย้มปล่อยมันผ่านไป
ฮ่องเต้ก็ชื่นชอบเขา ทุกคราที่ยิ้มถามเขาว่าหนนี้สร้างผลงานอีกแล้ว ต้องการรับรางวัลใด เขามักมองกลับไปด้วยแววตาทอประกายแฝงนัยลุ่มลึก มองเสียจนฮ่องเต้ขนลุกซู่ไปหนึ่งระลอก ต่อให้พระองค์ใช้นิ้วเท้าก็คิดออกว่าชุยโย่วต้องการสิ่งใด…อย่างมากก็แค่รอวันหน้าฮั่วจวินหวาหายป่วยแล้ว พระราชทานสมรสให้เขากับนางเท่านั้นเอง
ชุยโย่วแม้รูปโฉมไม่โดดเด่น ทว่าเหล่าพี่น้องเก่าแก่ที่คบหากันมาหลายสิบปีล้วนรู้ว่าเขาเจ้าปัญญามากไหวพริบ กระทำการสุขุมรอบคอบ หากมิใช่จมปลักอยู่กับฮั่วจวินหวาผู้เดียว นานหลายสิบปีมั่นคงดุจผ่านเพียงชั่ววัน วงศ์ตระกูลที่หมายตบแต่งสตรีเป็นภรรยาใหม่ของเขาก็คงย่ำธรณีประตูใหญ่สกุลชุยจนสึกไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้สกุลปันซึ่งเดิมยังสองจิตสองใจอยู่จึงนำตัวปันโหวน้อยทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลออกมาร่วมทัพ อวี๋โหวผู้เขียนคุณธรรมความรู้ไว้เต็มใบหน้าก็ยัดบุตรชายสามคนมาอย่างเคอะเขิน…อีกหลายตระกูลก็ทำเช่นเดียวกันนี้
ยิ่งใกล้วันเดินทาง ทุกคนยิ่งงานยุ่ง เฉิงเซ่าซางเองก็ไม่ยกเว้น
พักนี้นางเร่งมือทำเสื้อตัวในหนึ่งชุดกับถุงเท้ากำมะหยี่เนื้อหนาหนึ่งคู่ให้หลิงปู้อี๋ติดกันมาหลายคืน อีกทั้งเหลือฝีเข็มท้ายๆ ไปทำที่ตำหนักฉางชิว เย็บเก็บงานต่อหน้าท่านลุงฮ่องเต้เป็นพิเศษ ครั้นเห็นนิ้วมือเฉิงเซ่าซางถูกเข็มตำจนดูคล้ายแต้มดาวเกลื่อนฟ้า ต่อให้ชิ้นงานที่สำเร็จแล้วนั้นไม่ได้ความสักเท่าไรจริงๆ ฮ่องเต้ก็ยังคงพ่นลมขึ้นจมูกสองที บ่งบอกว่ายังนับเป็นที่น่าพอใจ
หลิงปู้อี๋หน้าขรึมดึงตัวเฉิงเซ่าซางออกมา พลิกดูมือเล็กของนางซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ “ทำจนเป็นเยี่ยงนี้ มิสู้ไม่ทำดีกว่า”
เฉิงเซ่าซางคลี่ยิ้ม ยื่นนิ้วจิ้มแก้มของเขา “ท่านช่างไร้มโนธรรมนัก นิ้วมือข้าเป็นเยี่ยงนี้เพื่อผู้ใดกันเล่า”
“แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้ถูกฝ่าบาทอบรมน่ะสิ” หลิงปู้อี๋เปิดโปงนางอย่างเฉียบคม
เฉิงเซ่าซางหน้าแดงอยู่บ้าง เอ่ยอย่างวางหน้าไม่สนิท “ท่านพูดมาไม่ผิด…เพียงแต่ฟู่หมู่ข้าบอกว่างานเย็บปักยังคงต้องหัดไว้หน่อย วันหน้าจะได้ทำสิ่งของติดกายให้สามีกับลูกๆ ได้”
“คราวก่อนแขนเสื้อเจ้าเกี่ยวขาด ก็เป็นข้าที่เย็บซ่อมให้ ข้าเคยคาดหวังงานเย็บปักของเจ้าเมื่อไรกัน”
เฉิงเซ่าซางประท้วงอย่างจนใจ “ท่านไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ไม่ได้หรือ วันนั้นกลับไปแล้วฟู่หมู่ถามข้าว่าแขนเสื้อเป็นผู้ใดเย็บซ่อมให้ ข้าตอบว่าเป็นท่าน จากนั้นก็ถูกนางอบรมไปสองชั่วยามเต็มๆ สองชั่วยามเชียวนะ! ฟู่หมู่บอกว่าเรื่องเยี่ยงนี้ขืนเล็ดลอดออกไป รับรองจะต้องเป็นข่าวสุดพิสดารนับแต่อดีตตราบปัจจุบัน ต่อไปสตรีสกุลเฉิงล้วนไม่ต้องออกไปนอกบ้านกันแล้ว!”
หลิงปู้อี๋หัวเราะร่า เห็นปลายจมูกจิ้มลิ้มที่เชิดขึ้นของเด็กสาวแดงระเรื่อท่ามกลางอากาศหนาวก็ให้ยั้งใจไม่ไหว โน้มใบหน้าลงขบกัดไปหนึ่งคำ
เฉิงเซ่าซางพลันหน้าแดงซ่าน ป้องจมูกไว้ ถอยร่นติดกันหลายก้าวใหญ่ ก่อนชี้นิ้วมือที่สั่นระริกไปยังชายหนุ่มตรงหน้า “ทะ…ท่านๆ…”
หลิงปู้อี๋เดินหน้าไปหลายก้าว เรือนกายอันสูงสง่าโน้มประชิดลงมาดุจภูผาหยกเอน กระซิบริมหูนางว่า “เจ้าอย่าเคืองไปเลย ข้าจะให้เจ้ากัดคืนนะ”
เฉิงเซ่าซางมองดูลูกกระเดือกที่เคลื่อนขยับนิดๆ กับสันจมูกที่โด่งองอาจของเขาแล้ว ไม่รู้พาให้นึกไปถึงสิ่งใด ใบหน้านางจึงแดงจัดยิ่งกว่าเดิม