ไกลออกไป นางเห็นสีหน้าเขาไม่ชัด แม้แต่เงาร่างเขาก็แทบมองไม่เห็น เห็นความครึกครื้นทางฝั่งนั้นแล้วนางก็รู้ว่าเขาคงไม่มีเวลามา จึงได้แต่หันกลับไปบอกให้ป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงนั่งลง พวกนางสามคนกินข้าวด้วยกัน
‘คิดไม่ถึงว่าการแข่งเรือมังกรจะน่าสนุกขนาดนี้ เมื่อครู่ข้าดูอยู่ ยังคิดว่าเรือจะล่มแล้วเสียอีก’ ป้าชุ่ยกินไปพลางย้อนคิดถึงภาพอันน่าตื่นตกใจเมื่อครู่นี้ไปพลาง ลืมคำพูดติดปากที่นางมักพูดอยู่เป็นประจำว่าเวลากินข้าวต้องตั้งใจกิน อย่าพูดคุยไร้สาระ
‘ใช่ เมื่อครู่ตอนลงจากรถข้าก็ได้ยินคนบอกว่าเมื่อเช้ามีเรือล่ม’ เวินโหรวยิ้มพลางตักน้ำแกงถ้วยหนึ่งให้อวิ๋นเซียงที่สายตาไม่ดี ‘โชคดีที่ล้วนแล้วแต่เป็นชาวประมงที่ว่ายน้ำเก่ง ตกน้ำกันเป็นประจำอยู่แล้ว’
‘นั่นสิ จะว่าไปแล้ว โจวชิ่งผู้นั้นฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ เดิมทีข้าคิดว่าเขาต้องตกน้ำแน่ แต่บังเอิญเหลือเกินที่บ่าวของเขาขว้างเสาธงออกไปเสียก่อน’
เวินโหรวอมยิ้มพูดต่อ ‘ไม่ใช่ความบังเอิญ คนผู้นั้นชื่อโม่หลี เป็นคนที่คอยติดตามข้างกายโจวชิ่ง ละเอียดรอบคอบมาก เขาน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว หาไม่ธงนั้นปกติเสียบอยู่ท้ายเรือ หากเพิ่งนึกขึ้นได้กะทันหันจะไปคว้ามาทันได้อย่างไร’
‘ก็ใช่ ต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบจริงๆ ถึงคว้าธงมาได้ทัน’ ป้าชุ่ยพยักหน้า ‘ธงผืนใหญ่นั้นหนักทีเดียว ชายคนนั้นสามารถยกธงขึ้นได้ช่างร้ายกาจจริงๆ น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกันกระมัง’
‘หากมิใช่ผู้ฝึกยุทธ์จะติดตามข้างกายโจวชิ่งได้อย่างไร’ เวินโหรวหยิบชาร้อนขึ้นมาเป่า ‘มากน้อยอย่างไรก็คงเคยฝึกวิชายุทธ์มาบ้าง’
ป้าชุ่ยฟังแล้วขมวดคิ้ว
‘เจ้าอยู่ข้างนอกต้องระวัง ครั้งหน้าหากเจอโจวชิ่งผู้นี้อีก ควรหลบเลี่ยงให้ไกลที่สุด ใช่แล้ว ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะมีแขกคนอื่นด้วยมิใช่หรือ ไฉนจึงยังไม่เห็นมีใครมาเลย’
ได้ยินดังนั้นชาที่เวินโหรวดื่มลงไปครึ่งหนึ่งก็เกือบถูกพ่นออกมา
นางกลัวป้าชุ่ยจะบ่นนี่แหละ จึงไม่ได้บอกก่อนว่าแขกที่มาเป็นใคร บอกเพียงว่าเป็นการกินข้าวสังสรรค์กับคู่ค้า ตอนนี้ได้ยินเช่นนี้จึงตัดสินใจตอบไปว่า
‘แขกผู้นั้นมีธุระ ไม่มาแล้วล่ะ’
มีเรื่องมากมิสู้มีเรื่องน้อย ในเมื่อเขาไม่ว่างมา นางก็อย่าพูดถึงเลยดีกว่า ป้าชุ่ยจะได้ไม่ต้องติดใจเรื่องนี้และกลับไปบ่นนางอีก
‘อาหารโต๊ะนี้ราคาไม่น้อยเลยกระมัง’ ป้าชุ่ยมองอาหารที่เรียงรายเต็มโต๊ะแล้วอดถามไม่ได้
‘พอไหว’ นางยิ้มตอบ ‘กินไม่หมดพวกเราค่อยเอากลับไปให้ลุงชิวกับลู่อี้เป็นกับแกล้มสุรา’
‘หากจะให้เป็นกับแกล้มสุราก็เยอะเกินไปหน่อย พวกเขาสองคนจะกินหมดได้อย่างไร’ ป้าชุ่ยยิ้มพูด ‘ของพวกนี้นำไปเป็นอาหารของพวกเราได้หลายมื้ออย่างเหลือเฟือด้วยซ้ำ ไก่ขาวสับเอากลับไปสามารถต้มน้ำแกงไก่ได้ พระกระโดดกำแพงสามารถเอาไปต้มโจ๊ก เนื้อวัวหมักซีอิ๊วเอาไปต้มบะหมี่ ไก่ผัดพริกกินกับข้าว ตอนนี้พวกเรากินแค่ซี่โครงหมูน้ำแดงกับปลาก็พอ’
นางฟังแล้วยิ้ม ‘เช่นนั้นหลายวันต่อจากนี้คงต้องดูป้าชุ่ยแสดงฝีมือเสียแล้ว’
‘เจ้าเด็กคนนี้ ปากหวานขนาดนี้หัดมาจากใครกันนะ’
‘แน่นอนว่าย่อมเป็นป้าชุ่ยอยู่แล้ว’ พูดพลางไม่ลืมส่งขนมจ้างไส้หวานลูกหนึ่งออกไป ‘ป้าชุ่ยรีบกินของหวานเถอะ ปากหวานแล้วใจจะได้หวานไปด้วย’
ป้าชุ่ยมองนางอย่างขบขัน แต่ยังคงยื่นมือไปรับ
เวินโหรวดูแลอวิ๋นเซียงข้างกายพลางพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับป้าชุ่ย กินอาหารไปไม่มากเท่าไร แต่จิตใจกลับผ่อนคลายขึ้นมาก
แม้โจวชิ่งจะไม่ว่างมา แต่นางกลับรู้สึกโล่งอก
ที่นี่เป็นสถานที่ปลอดโปร่งสะอาดสะอ้าน อาหารอร่อย มองออกไปข้างนอกเห็นท้องน้ำกว้างขวาง ได้มองน้ำในทะเลสาบ มองคลื่นน้ำที่พลิ้วไหวน้อยๆ แล้ว ทำให้คนอารมณ์ดีตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
กว่าครึ่งปีที่ผ่านมานางยังไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายเหมือนเช่นครั้งนี้มาก่อนเลย
แม้สุดท้ายตอนหยิบถุงใส่เงินขึ้นมาจ่ายค่าอาหาร หัวใจนางจะเจ็บปวดนิดๆ แต่เห็นป้าชุ่ยกับอวิ๋นเซียงกินข้าวอย่างมีความสุขเช่นนี้ นางก็คิดว่าคุ้มแล้ว
* เทศกาลตวนอู่ จัดขึ้นทุกวันที่ห้าเดือนห้าตามจันทรคติเพื่อระลึกถึงชวีหยวน กวีและขุนนางผู้พลีชีพตนเพื่อต่อต้านความอยุติธรรมในราชสำนัก ในเทศกาลนี้ผู้คนจะทำขนมจ้างเซ่นไหว้เทพเจ้า มีประเพณีแข่งเรือมังกรในแม่น้ำ
* พระกระโดดกำแพง เป็นชื่ออาหารขึ้นชื่อของมณฑลฝูเจี้ยน ปรุงด้วยเนื้อสัตว์สิบแปดชนิด เครื่องเทศและสมุนไพรสิบสองอย่าง เล่ากันว่าในสมัยราชวงศ์ถังมีหลวงจีนรูปหนึ่งได้กลิ่นหอมของอาหารชนิดนี้แล้วถึงกับอดใจไม่ไหว ยอมละทิ้งตบะที่บำเพ็ญเพียรมาหลายปีปีนกำแพงออกไปลิ้มรส จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘พระกระโดดกำแพง’
** เทพซานไท่จื่อ เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของเทพนาจา
* ลายหมั่ง เป็นชื่อลวดลายโบราณของจีน ลักษณะคล้ายลายมังกร แต่อุ้งเท้ามีสี่นิ้ว ต่างจากมังกรที่มีห้านิ้ว
* ต้อนเป็ดขึ้นคอน ปกติเป็ดจะไม่สามารถบินขึ้นไปเกาะคอนเหมือนไก่ได้ สำนวนนี้จึงเปรียบเปรยถึงการบังคับให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่ความสามารถไม่เพียงพอที่จะทำได้