รอยจำในเรือนใจ
ทดลองอ่านนิยาย รอยจำในเรือนใจ บทนำ – บทที่ 1
บทนำ
จริงสิ เห็นเชน คอดเวลล์มีคิวขึ้นพูดบนเวทีด้วย...ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ที่มุมไหนสักมุมในงานนี้แล้ว และเขาน่าจะช่วยเราได้
นั่นคือความคิดเมื่อราวสิบห้านาทีก่อนของเพราตา ก่อนที่เธอจะเริ่มต้นออกเดินไปทั่วงานกาล่าดินเนอร์สุดหรูที่ถูกจัดขึ้นใจกลางกรุงโรม พร้อมกันนั้นก็สอดส่ายสายตาหาทายาทลำดับที่สองของเจ้าพ่อสื่อชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษอย่างแนบเนียน
นี่ถ้าเป็นเมื่อสักหกเดือนก่อนแล้วมีใครบอกว่าเธอจะต้องเดินมองหาเชน คอดเวลล์แบบนี้เธอคงจะคิดว่าอีกฝ่ายเมายา ไม่ต้องนับเรื่องที่เธอคิดจะขอความช่วยเหลือจากเขาด้วย
รู้งี้ไม่น่ามาอิตาลีคนเดียวเลย เพราตาบ่นตัวเอง แต่เธอก็ไม่เสียเวลากับการบ่นนานนัก เพราะมาถึงจุดนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบ่น เธอมาอยู่อิตาลีหนึ่งสัปดาห์แล้ว ประเด็นสำคัญในตอนนี้คือเธอต้องหาทางกลับอังกฤษให้เร็วที่สุด เธอไม่แน่ใจว่าเชนจะช่วยเธอได้อย่างไรบ้าง เธอต้องคิดให้ดีว่าจะขอให้เขาช่วยยังไง
หากที่แน่ๆ เธอคงต้องขอให้เชนช่วยรับบทคนรักของเธอ...ดูเหมือนตอนนี้เขาจะโสด อันที่จริงเขาก็น่าจะโสดตลอดเวลานั่นแหละ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะยอมช่วยรับสมอ้างเป็นคนรักของเธอหรือเปล่าอยู่ดี เพราะดูเขาเป็นคนที่ไม่น่าจะให้ความร่วมมืออะไรกับใครง่ายๆ เลย
เอาเถอะ อย่างไรความสัมพันธ์ของเธอกับพวกคอดเวลล์ก็ถือว่าดีขึ้นนิดหนึ่งแล้ว แถมเพื่อนสนิทเธอก็เป็นว่าที่พี่สะใภ้ของเชนอีกต่างหาก ดังนั้นเขาน่าจะยอมช่วยพาเธอกลับอังกฤษ...หวังว่านะ
เพราตาสอดส่ายสายตาไปทั่ว ขณะเดียวกันก็พยายามเรียบเรียงข้อมูลและแผนการในหัว จนกระทั่งดวงตาสีนิลเบนไปเจอร่างสูงร่างหนึ่งที่กำลังเดินอยู่บนสนามหญ้าด้านข้างระเบียงทางเดินที่เธออยู่ ซึ่งเธอก็เบิกตากว้างพร้อมกับร้องเสียงลั่นออกมาทันที
“คุณ!”
อีกฝ่ายหันมา เพราะย้อนแสงทำให้หญิงสาวเห็นหน้าเขาไม่ชัดนัก หากเธอก็ไม่สนอยู่แล้วว่าเขาจะมีสีหน้าท่าทางอย่างไร ประเด็นก็คือเธอได้เจอเชน คอดเวลล์แล้ว!
ดวงหน้าสวยหันซ้ายหันขวา พอเห็นว่าบันไดทางลงจากระเบียงไปยังสวนอยู่ห่างไปไกลพอสมควร เธอก็ตัดสินใจถลกกระโปรงยาวของชุดราตรีสีเขียวน้ำทะเลขึ้นแล้วตวัดขายาวๆ ปีนข้ามรั้วระเบียงเสียเลย แล้วไม่กี่วินาทีถัดมาเธอก็กระโดดลงมาบนพื้นสนามหญ้า แต่ความรีบร้อนกับส้นสูงที่สวมใส่อยู่ทำให้เธอเสียหลักไปกอดคนที่กำลังอึ้ง และเธอก็ทำให้เขาอึ้งซ้ำด้วยการกระชับแขนกอดเขาไว้แน่นขึ้นแทนที่จะถอยห่างออกไป
“คุณเชน ฉันตามหาคุณแทบแย่!”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์ขมวดคิ้ว ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก แขนยาวๆ พยายามจะดันร่างโปร่งในชุดราตรีออกไป ทว่าก็ไม่สำเร็จเพราะสองแขนของเธอกอดเขาไว้แน่นมาก
“คุณจะกลับลอนดอนเมื่อไหร่คะ”
“คืนนี้...” เขาพูดได้แค่คำเดียวเธอก็โพล่งสวนกลับมาทันที
“ดีเลย คุณมีเจ็ตส่วนตัวใช่ไหม งั้นฉันกลับด้วยนะ!”
เชน คอดเวลล์นิ่งอึ้งอีกคำรบอย่างช่วยไม่ได้ แต่หลังจากสบตากับเธอแล้วไม่เห็นวี่แววว่าเธอล้อเล่น เขาเลยออกปากถาม
“ที่ลอนดอนมีเรื่องด่วนหรือไง”
“เปล่าค่ะเปล่า แต่มีเรื่องด่วนที่นี่แหละ ฉันต้องออกจากอิตาลีให้เร็วที่สุด”
“ทำไม” เขาถาม ขณะเดียวกันก็พยายามแกะตัวเองออกจากอ้อมแขนของเพราตา พอสำเร็จขายาวๆ ของเขาก็ก้าวออกเดินทันที “เดี๋ยวผมต้องขึ้นเวที”
“ฉันไปด้วย” หญิงสาวแทบจะกระโจนไปเกาะท่อนแขนแข็งแรงไว้ ใบหน้าหล่อจัดของคนที่กำลังหยิบมือถือขึ้นมาดูหันมาหาเธออีกรอบ เขารู้ว่าเธอต้องตามมาแต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะเกาะเขาเป็นลูกลิงแบบนี้ ซึ่งเธอก็พอเดาได้เลยรีบรัวคำพูดเร็วปรื๋อ “คุณช่วยสวมบทเป็นแฟนของฉันสักคืนได้ไหม”
“อะไรนะ” เชนแทบจะหยุดเดินทั้งที่กำลังรีบ
“มันจำเป็นจริงๆ ฉันกำลังต้องการแฟนด่วนๆ” เพราตาส่งสายตาอ้อนวอนไปหาชายหนุ่ม “คืองี้ ฉันมาถึงอิตาลีเมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วฉันก็ได้เจอ...”
เสียงแจ้วๆ ของหญิงสาวถูกกลบด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ในมือของเชน เธอเลยจำต้องเงียบเพราะเขากดรับสายแล้วยกมันแนบหูทันที
คนอะไรแบบนี้เนี่ย เธอบ่นในใจ แต่สุดท้ายก็ปัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้เจอเขาแล้ว เขาคงไม่ใจร้ายทิ้งเธอไว้ที่อิตาลี...และอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้สะบัดแขนเธอทิ้งด้วย
เพราตาเดินเกาะแขนชายหนุ่มกลับเข้าไปในอาคาร ขณะที่เขาก็มุ่งมั่นกับการคุยโทรศัพท์จนคล้ายไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่น ซึ่งเธอก็ไม่แปลกใจ เพราะเท่าที่ฟังดูมันเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับดีลธุรกิจที่น่าจะสำคัญไม่น้อย
งานกาล่าดินเนอร์ในคืนวันนี้เป็นงานที่เธอขนานนามให้เองว่า ‘จับฉ่าย’ แต่ก็เป็นงานจับฉ่ายยักษ์แห่งปีของอิตาลีทีเดียว มันเริ่มมาจากการที่นักพฤกษศาสตร์ผสมสายพันธุ์กุหลาบจนได้สายพันธุ์ใหม่ที่ให้ดอกใหญ่ ฟอร์มสวย และมีกลิ่นหอมนาน กุหลาบสายพันธุ์ใหม่นี้สวยจนเป็นที่สนใจของสาธารณชนทั่วโลก เมื่อมีกระแสใหญ่โต จากที่จะมีงานเปิดตัวกุหลาบในแวดวงพฤกษศาสตร์ธรรมดาก็กลายเป็นงานอีเวนต์ที่มีทั้งแฟชั่นโชว์และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ซึ่งนิตยสารแฟชั่นหัวสำคัญของคอดเวลล์ก็มีเอี่ยวอยู่ด้วย ดังนั้นเชน คอดเวลล์จึงเดินทางจากอังกฤษมาอยู่ในงานคืนนี้ด้วย
ถือเป็นโชคดีของเธอ...
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มเดินไปคุยโทรศัพท์ไปจนกระทั่งถึงประตูเข้าหลังเวที ใครสักคนที่น่าจะเป็นฝ่ายประสานงานไม่ก็เลขาฯ รอเขาอยู่ อีกฝ่ายทำท่าแปลกใจที่เห็นเธอควงแขนเขามาหากก็ไม่ได้พูดอะไรและปล่อยให้เธอเดินผ่านเข้าประตูไปพร้อมเชน จากนั้นพวกสตาฟฟ์ด้านหลังเวทีก็เข้ามารุมล้อม แต่เพราะเขาคุยโทรศัพท์อยู่พวกนั้นเลยหันไปเจรจากับคนที่มารอรับเขาแทน
ในที่สุดเชนก็วางสายโทรศัพท์จนได้ ตอนแรกเพราตานึกว่าเขาจะถือโทรศัพท์ขึ้นไปคุยบนเวทีเสียแล้ว กระนั้นเธอก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเขาอยู่ดี เพราะเขาหันไปคุยกับคนที่พาพวกเธอเข้ามาต่อทันที บทสนทนาเกี่ยวกับการขึ้นพูดบนเวที เธอเลยได้แต่รออย่างอดทนจนกระทั่งเขาหันมา
“ผมต้องขึ้นไปพูดแล้ว” เชนพูดออกมาก่อนที่เธอจะทันขยับปากเสียอีก ซึ่งเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ารับ
“งั้นฉันรอคุณตรงนี้นะคะ”
ชายหนุ่มมองหน้าเธอ เธอเองก็มองหน้าเขาไม่หลบตา จนกระทั่งเหลือบไปเห็นบุคคลหนึ่งเดินมาตรงหางตา เธอจึงดึงมือออกจากท่อนแขนแข็งแรงแล้วย้ายมันไปประคองใบหน้าหล่อเหลาอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอยังยื่นหน้าไปประทับจูบลงบนริมฝีปากเรียวโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวด้วย
ตั้งแต่เจอกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเชนอึ้งเพราะหญิงสาวมาไม่รู้กี่หนแล้ว หากที่แน่ๆ หนนี้รุนแรงที่สุด แต่ก่อนที่เขาจะคิดอะไรเธอก็พูดเป็นภาษาไทย
“ฉันต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ค่ะ คนของคุณจะอยู่ตรงนี้ด้วยใช่ไหมคะ”
ดวงตาสีเฮเซลหรี่ลงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับเบาๆ แล้วหันไปพูดกับลูกน้องด้วยเสียงต่ำลึก
“อยู่เป็นเพื่อนคุณผู้หญิงตรงนี้” แล้วเขาก็หันกลับมาหาเธอ “ผมพูดไม่นาน”
เพราตายังไม่ทันได้ตอบรับใดๆ ร่างสูงก็หมุนกายผละไปเสียแล้ว เธอระบายลมหายใจเบาๆ คิดว่าถึงเคมีเธอกับเขาจะไม่ค่อยตรงกัน แต่อย่างน้อยเขาก็เข้าใจอะไรไม่ยาก และดูแล้วเขาน่าจะยอมช่วยเธอแน่ๆ
“คุณทำงานที่อิตาลีหรือมาจากอังกฤษคะ” พอเชนไปแล้วหญิงสาวก็หันไปหาบุรุษที่เชนทิ้งไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนเธอ นอกจากเขาแล้วบริเวณนี้ยังมีคนอีกพอสมควร สตาฟฟ์กลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนยกพื้นหลังเวที และยังมีอีกหลายคนที่เดินผ่านไปมา เธอเลยค่อนข้างผ่อนคลาย
“ผมทำงานที่นี่แต่มาจากอังกฤษครับ” อีกฝ่ายตอบพร้อมอธิบาย “ผมเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-อิตาลี เกิดในอังกฤษแต่ใช้ภาษาอิตาลีได้เลยถูกส่งตัวมาทำงานที่ออฟฟิศในโรมของคอดเวลล์ แล้ววันนี้ก็ถูกส่งมาดูแลบอส”
เธอพยักหน้ารับหงึกหงักแล้วแนะนำตัว...อย่างน้อยลูกน้องของเชนคนนี้ก็ดูน่าจะพอพึ่งพาได้ล่ะมั้ง ยังไงก็ผูกมิตรไว้ก่อนแล้วกัน
เชนใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็ลงมาจากเวที ทว่าเขากลับพบลูกน้องยืนอยู่คนเดียวโดยไม่มีวี่แววของเพราตาอยู่ด้วย แถมอีกฝ่ายยังหันไปหันมาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอีกต่างหาก
“คุณผู้หญิงล่ะ?”
“นั่นสิครับ คือผมรับโทรศัพท์แล้วของหล่นกลิ้งไปทั่วผมเลยเดินไปเก็บ แต่พอเก็บของเสร็จหันกลับมามองอีกทีเธอก็หายไปแล้ว” คนเป็นลูกน้องตอบกลับอย่างไม่สบายใจ
‘ฉันต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ค่ะ’ คำพูดของเธอผุดขึ้นมาในหัวทันที และแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องจูบเขา กระนั้นเวลานี้เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากล คนทั้งคนจะหายไปเฉยๆ ได้อย่างไร
“หาให้เจอ” ชายหนุ่มสั่งสั้นๆ อีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วรีบผละไป ขณะที่เขาหันไปรอบๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่เห็นเพราตาแต่เขาก็เห็นว่ามีสตาฟฟ์ของงานเดินผ่านไปมาเป็นระยะ
ถึงบริเวณหลังเวทีจะไม่พลุกพล่านแต่ก็ไม่ได้ร้าง เพราตาจะอันตรธานหายไปโดยไม่มีใครเห็นได้อย่างไร มันแปลกเกินไป...เชนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าสูท เขารู้ดีว่าตนไม่มีเบอร์โทรของหญิงสาว ถึงเขาจะรู้จักเธอมานานแล้วแต่มันก็เป็นเพียงการรู้จักหน้าและชื่อ แทบไม่มีอะไรมากกว่านั้น ทว่าเขาก็แน่ใจว่าตนสามารถหาเบอร์ของเธอได้ไม่ยากนักถ้าต้องการ
หลังจากชั่งใจอยู่พักหนึ่งชายหนุ่มก็กดต่อสายกลับไปหาเลขานุการที่อังกฤษ แม้จะทราบว่าเวลานี้ดึกมากแล้วก็ตาม
“นี่ฉันเองนะ ช่วยหาเบอร์ของเพราตา ลูกเลี้ยงของพวกฟิตซ์สตันให้ฉันที”
บทที่ 1 Black out บางสิ่งที่หายไป
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่แทรกตัวเข้ามาในโสตประสาทกระชากเชน คอดเวลล์ออกจากห้วงนิทรา เขาสะดุ้งแล้วลืมตาขึ้นทันที หากก็ต้องใช้เวลาอีกราววินาทีกว่าจะเข้าใจว่ามีคนโทรเข้ามาหา ถึงจะรู้สึกเหมือนเพิ่งได้นอนไปไม่นานแต่เขาก็เอื้อมมือไปคว้ามือถือจากโต๊ะหัวเตียงมาดู นอกจากพบชื่อพี่ชายลอยเด่นอยู่บนกลางจอแล้ว ดวงตาที่ฉาบไว้ด้วยความง่วงงุนของเขายังสังเกตเห็นตัวเลขเวลาตรงมุมบนของจอด้วย และนั่นก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมา
ฟ้าที่ลอนดอนยังไม่สางด้วยซ้ำ ชายหนุ่มเพิ่งได้นอนไปแค่สองสามชั่วโมง เพราะเขาเพิ่งกลับจากนิวยอร์กเมื่อกลางดึกนี่เอง
ส่วนที่ไทยคงเป็นช่วงสายๆ เกือบเที่ยง หมอนั่นจะไปเดือดร้อนอะไร...เชนพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วหยุดเสียงเรียกเข้าที่ฟังน่ารำคาญกว่าปกติสามร้อยเท่าด้วยการรับสายโทรศัพท์
“ได้ข่าวเรื่องแพมรึยัง” ธามส่งเสียงมาดังลั่นตั้งแต่เขายังไม่ทันกดเปิดสปีกเกอร์ด้วยซ้ำ
“แพม?” คนเป็นน้องชายวางมือถือลงบนเตียงแบบงงๆ พยายามนึกว่าแพมไหน หากปลายสายก็ช่วยเฉลยให้อย่างรวดเร็ว
“เพื่อนสนิทจินต์ไงเล่า เพราตาน่ะ!”
“อ้อ”
เชนตื่นขึ้นนิดหนึ่ง เพราตาใช้ชื่อเล่นของตัวเองในการทำความรู้จักกับใครต่อใครที่อังกฤษ แต่เขากลับติดชื่อเพราตาของเธอมากกว่า อาจเพราะมันแปลกหู ขณะเดียวกันเรื่องที่อิตาลีเมื่อสามวันก่อนผุดขึ้นในหัวทันที เขาจึงถามต่อ
“ข่าวอะไร”
“เมื่อคืน...ทั้งคืนที่ไทยและอังกฤษ พวกฟิตซ์สตันเจอแพมแล้ว อยู่ที่โรงพยาบาลในอิตาลี เห็นว่าโดนทำร้าย”
“โดนทำร้าย?” คราวนี้คนที่อังกฤษตาสว่างขึ้นทันที
“แพทริกส่งข้อความมาบอก จินต์เลยโทรกลับไปถาม หมอนั่นบอกว่าแพมมีแผลโดนของแข็งกระแทกที่หัว เข้าใจว่าน่าจะพากันกลับมารักษาตัวที่อังกฤษวันนี้แหละ ตอนนี้จินต์เครียดมาก นายช่วยตามข่าวให้หน่อยได้ไหม นี่จินต์เพิ่งกลับมาหัดเดิน อยากไปหาเพื่อน แต่ฉันไม่อยากพาจินต์เดินทางไกลๆ ไปอังกฤษตอนนี้”
ถึงจะตาสว่างแล้ว หากสมองที่ยังไม่กลับมาทำงานเต็มรูปแบบก็ต้องใช้เวลาอึดใจกว่าจะเรียบเรียงข้อมูลให้เชนได้ครบถ้วน ซึ่งก็สรุปได้ว่าจริงๆ แล้วธามไม่ได้ห่วงเพราตาไปมากกว่าห่วงแฟนตัวเอง แต่ก็นั่นแหละ มันก็ไม่แปลก
เอาเถอะ เขาเองก็อยากรู้ข่าวเพราตาเหมือนกัน เพราะตั้งแต่คืนนั้นในอิตาลีเขาก็รู้สึกเหมือนมีคราบดำติดอยู่ในใจ และเขาก็ไม่มีเวลาขัดมันออกด้วยเพราะตั้งแต่กลับมาจากอิตาลีคืนนั้นเขาก็ยุ่งจนแทบไม่มีเวลานอน
“เดี๋ยวผมส่งข่าว”
“โอเค งั้นแค่นี้แหละ” ธามบอกแล้วก็วางสายไปเสียเฉยๆ
เชนกลอกตาก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง ความง่วงยังรุนแรงอยู่มาก ทว่าก่อนจะกลับไปนอนอีกรอบ เขาก็ต้องสั่งคนให้ตามข่าวของเพราตาก่อน พอนาฬิกาปลุกตื่นมาอีกทีลูกน้องเขาก็น่าจะมีข่าวมารายงาน
ที่บอกว่าเธอโดนทำร้ายนั่นฟังดูไม่ดีเลย...และก็เป็นไปได้มากทีเดียวว่ามันอาจเกี่ยวกับการที่เธอหายไปแล้วเขาตามหาเธอไม่เจอในคืนนั้นด้วย
ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะไม่ใช่แค่ฟังดูไม่ดี แต่ต้องถือว่าเลวร้ายเลยทีเดียว
เชนลงจากรถเมอร์เซเดสเบนซ์คันใหญ่เดินเข้าสู่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังใจกลางมหานครลอนดอน เมื่อเช้าเขาสั่งให้คนติดต่อไปหาพวกฟิตซ์สตันเพื่อถามข่าว จากนั้นเขาก็ตั้งใจจะนอน หากเอาเข้าจริงก็นอนไม่หลับ จนสุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวและรอข่าว สรุปว่าเมื่อคืนพวกฟิตซ์สตันได้ข่าวจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอิตาลีว่าเพราตาได้รับบาดเจ็บและพักรักษาตัวอยู่ที่นั่นมาสองคืนแล้ว แพทย์อนุญาตให้ย้ายกลับมารักษาตัวที่อังกฤษได้ ด้วยเงิน เส้นสาย และทุกอย่างที่พวกฟิตซ์สตันมีทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวจึงสามารถเดินทางกลับมาที่อังกฤษได้ในตอนเย็นวันเดียวกันเลยทีเดียว
ความจริงค่ำนี้เชนได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้ของเซเลบริตี้รายหนึ่ง เขาไม่ชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้วเลยเบนเข็มมาที่โรงพยาบาลแทน...พอรู้แน่ว่าเพราตากลับมาถึงอังกฤษแล้วเขาก็ตัดสินใจโทรหาแพทริก ฟิตซ์สตัน พี่ชายเลี้ยงของเธอด้วยตัวเองเมื่อชั่วโมงก่อนเพื่อขออนุญาตมาเยี่ยมเธอ นอกจากอีกฝ่ายตอบรับแล้วยังบอกว่าอยากเจอเขาอีกด้วย ซึ่งเขาก็เดาว่าน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมื่อคืนนั้นที่อิตาลีนั่นเอง
คืนนั้นหลังจากที่หญิงสาวหายไปเฉยๆ เขาก็พยายามให้ลูกน้องตามหาเธอในทุกทางที่ทำได้ ถึงขั้นยอมเลื่อนเที่ยวบินออกไปสองชั่วโมง หากก็ไม่มีวี่แววของเธอทั้งที่ในงานก็มีคนมากมาย โทรหาเธอก็ไม่ติด และเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอเปลี่ยนไปใช้เบอร์ท้องถิ่นของอิตาลีหรือเปล่า จนสุดท้ายเขาก็ยอมแพ้เพราะนอกจากกลับอังกฤษแล้วเขาต้องเดินทางต่อไปจัดการดีลสำคัญที่อเมริกาด้วย แต่เขาก็สั่งให้คนตามหาเพราตาต่อและตัดสินใจโทรหาแพทริกเพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟังด้วย แพทริกบอกว่าเพิ่งคุยกับน้องสาวเมื่อเช้านี้
จนกระทั่งเชนเดินทางมาถึงอังกฤษเพื่อเปลี่ยนเครื่องบินเดินทางต่อไปยังอเมริกา แพทริกก็โทรกลับมาหาเขาและบอกว่าติดต่อเพราตาไม่ได้ พยายามเช็กที่อยู่จากมือถือก็ไม่สำเร็จ อีกฝ่ายเลยเริ่มกังวลแล้วคิดว่าจะไปอิตาลี เขาเลยให้แพทริกติดต่อกับเลขาฯ ของเขาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ หลังจากนั้นเขาก็เดินทางไปอเมริกา แต่ด้วยความที่ยุ่งมากเลยไม่ได้ติดตามข่าวเรื่องหญิงสาวมากนัก ไปๆ มาๆ กลายเป็นรู้ข่าวจากธามซึ่งอยู่ไกลถึงเมืองไทยเสียอย่างนั้น
เชนรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา หากเมื่อเพราตาโดนทำร้ายเขาก็ยังอดรู้สึกผิดหน่อยๆ ไม่ได้...
ชายหนุ่มทราบว่าต้องไปที่ไหนเพราะแพทริกบอกไว้แต่แรก เขาแค่ต้องถามทางจากพยาบาลครั้งหนึ่ง แล้วก็เดินต่อไปอีกสองสามนาทีก่อนจะได้พบกับสองพ่อลูกฟิตซ์สตัน
“เธอเป็นยังไงบ้าง” เชนถามหลังจากจับมือทักทายทั้งสองเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันก็มองลอดกระจกบานเล็กๆ ตรงประตูห้องเข้าไปด้านใน เขาเห็นเธอนอนหลับอยู่บนเตียง บริเวณศีรษะมีผ้าพันแผลพันจนแทบเป็นผ้าโพกหัว ข้างเตียงมีสตรีอีกคนนั่งหันหลังให้ประตู ซึ่งก็น่าจะเป็นแม่ของเธอ
“ทางกายภาพก็โอเคดี แต่อย่างอื่นมีปัญหา นี่แหละที่ทำให้ผมอยากเจอคุณ” แพทริกบอกสีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่เชนหันกลับไปมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ
“อย่างอื่น?”
“เพราะมีการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ ความทรงจำของแพมเลยมีปัญหา”
“เราไปนั่งคุยกันตรงชุดโซฟานั่นดีกว่า” จอห์น ฟิตซ์สตัน บารอนฟิตซ์สตันที่เก้า หรือที่มักเรียกกันว่าลอร์ดฟิตซ์สตัน* พ่อเลี้ยงของเพราตาพยักพเยิดไปทางชุดโซฟาใกล้กับเคาน์เตอร์พยาบาล
เชนเดินไปตามการเชื้อเชิญโดยดี ดูเหมือนว่าเรื่องจะแย่ยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก
“เท่าที่รู้จากโรงพยาบาลที่อิตาลี มีคนไปเจอแพมหมดสติอยู่แถวชานเมืองของโรมเลยพาตัวมาส่งที่โรงพยาบาล พอได้สติแพมก็มีอาการสับสน จำอะไรแทบไม่ได้เลย แถมมาตัวเปล่าด้วย โรงพยาบาลเลยไม่รู้จะติดต่อครอบครัวยังไง” เมื่อนั่งกันเรียบร้อยแพทริกก็เริ่มต้นบทสนทนาทันที “จนกระทั่งเมื่อคืนความทรงจำของแพมก็ค่อยๆ กลับมา เธอจำเบอร์มือถือของแม่ได้เลยขอให้โรงพยาบาลโทรหา ท่านส่งข่าวต่อให้ผมไปที่โรงพยาบาล จนถึงตอนนี้แพมจำได้แค่ว่าขึ้นรถไฟไปอิตาลี แต่จำเรื่องหลังจากนั้นไม่ได้เลย”
“เรื่องที่เจอผมคืนนั้นก็จำไม่ได้?”
“ไม่ได้” แพทริกระบายลมหายใจเบาๆ “หมอบอกว่าความทรงจำที่หายไปอาจกลับมาหรืออาจจะไม่กลับมาเลยก็ได้ แต่เท่าที่ตรวจดูทางร่างกายไม่มีอาการบาดเจ็บนอกจากที่หัว”
“คุณเลยอยากได้ยินจากผมละเอียดๆ ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในคืนนั้น” เชนพอจะเดาได้ เพราะถึงคืนนั้นเขาจะโทรหาแพทริก แต่เขาก็มีเวลาไม่มากเลยพยายามเล่าเรื่องราวให้กระชับ สรุปเพียงรายละเอียดสำคัญๆ เท่านั้น
“ใช่ เพราะคุณบอกว่าแพมไปขอความช่วยเหลือจากคุณ” แพทริกพยักหน้ารับ
พูดตามจริงเชนไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเยี่ยมสมาชิกครอบครัวฟิตซ์สตันในโรงพยาบาลแถมยังได้มานั่งคุยกันแบบนี้ เพราะคอดเวลล์เคยมีคดีกับฟิตซ์สตันมาก่อน
เรื่องก็คือเมื่อหลายปีก่อนลอร์ดฟิตซ์สตันพบรักและแต่งงานกับแม่ม่ายชาวไทยคือพริ้มเพรา แม่ของเพราตา เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นที่สนใจทีเดียว คอดเวลล์ทำธุรกิจด้านสื่อ มีแท็บลอยด์อยู่ในพอร์ตธุรกิจด้วย ซึ่งแท็บลอยด์ของคอดเวลล์ก็ถือเป็นสื่อหัวแรกๆ ทีเดียวที่เล่นข่าวนี้ จนแพทริกไม่พอใจเลยมาฉะกับธามแล้วทั้งสองก็เขม่นกันตั้งแต่วันนั้น ถึงตัวเขาจะไม่ได้เป็นคู่กรณีโดยตรงแต่ก็โดนเขม่นเหมารวมไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
ช่วงที่ลอร์ดฟิตซ์สตันแต่งงาน เฮนรี่กับโฉมฉาย พ่อแม่ของเขาก็หย่าขาดจากกัน เป็นการจากกันด้วยดีและจนถึงตอนนี้ทั้งสองก็ยังเป็นเพื่อนกันรวมถึงไปมาหาสู่กันเนืองๆ โฉมฉายย้ายกลับไปอยู่เมืองไทย และเมื่อเกือบสองปีที่แล้วธามก็ตามแม่ไป แถมเป็นการตามไปแบบไม่ยอมกลับ คือไปยึดหน้าที่ดูแลธุรกิจคอดเวลล์ในฟากฝั่งเอเชียแบบไม่ปรึกษาเขาสักคำ ไม่ต่างจากเฮนรี่ที่จู่ๆ ก็ทิ้งธุรกิจไว้ให้พวกเขาสองพี่น้องบริหาร ส่วนตัวเองก็หนีไปเที่ยวรอบโลก ซึ่งเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากดูแลงานที่อังกฤษต่อตามลำพัง
เพราตาย้ายตามพริ้มเพรามาเรียนปริญญาตรีที่อังกฤษหลังจากแม่แต่งงานใหม่พักใหญ่ เธอดูสนิทสนมกับแพทริกดี จนในที่สุดนักข่าวของคอดเวลล์ก็เอาไปเขียนข่าวว่านอกจากแพทริกจะได้รับบรรดาศักดิ์ต่อจากพ่อแล้ว เธอก็อาจได้รับการเรียกขานว่าเลดี้ต่อจากแม่ด้วย แพทริกเลยโกรธขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้เชนเป็นคนรับแรงเหวี่ยงเต็มๆ กระนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างคอดเวลล์กับฟิตซ์สตันก็คล้ายจะยิ่งแย่ลงไปอีก
กระทั่งธามไปรักกับจินตาภา เพื่อนสนิทของเพราตา* คอดเวลล์กับฟิตซ์สตันจึงถูกดึงเข้ามาใกล้กันโดยอ้อมอีกหน แถมมันก็เป็นไปในทางไม่ค่อยดีเสียด้วย เพราะพี่ชายของเขาดันไปทำจินตาภาเสียใจ เพราตาพลอยโมโหจนถึงขั้นตั้งชื่อใหม่ให้ธามแบบเจ็บแสบ ซึ่งก็โทษเธอไม่ได้ แต่ตอนหลังพอธามกับจินตาภาเข้าใจกันแล้วเพราตาก็ขอโทษพี่ชายเขา รวมถึงตามมาขอโทษเขาด้วยทั้งที่เขาก็ไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่ เขาเลยคิดว่าเธอเป็นคนที่ใช้ได้อยู่เหมือนกัน ตั้งแต่นั้นพอเจอกันตามสถานที่ต่างๆ เขากับเธอก็ทักทายกันอยู่บ้าง แม้ไม่ได้ถือว่าสนิทสนมกันหากก็คงพอจะพูดได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองบ้านดีขึ้นเล็กน้อย
จนเกิดเรื่องที่อิตาลีเมื่อสามวันก่อน...
“อาคารนั้นเป็นอาคารเก่า ด้านหลังเวทีไม่มีกล้องวงจรปิด ผมให้คนที่นั่นพยายามเอาบันทึกกล้องตรงประตูทางเข้าออกมาดูแต่ก็มีแค่ภาพตอนคุณแพมเดินเข้าหลังเวทีพร้อมผม พวกสตาฟฟ์ด้านหลังเวทีก็บอกไม่รู้ไม่เห็นกันหมด” เชนเล่าเรื่องตอนเจอเพราตาให้ฟัง จากนั้นก็เล่าต่อไปถึงตอนที่เขาสั่งให้คนตามหาตัวเธอ
“นั่นมัน...ไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือไง” ลอร์ดฟิตซ์สตันเอนหลังพิงโซฟาที่นั่งอยู่ สีหน้าเคร่งเครียด
“ใช่ครับ เพราะมันแปลกผมถึงอยู่ต่อจนวินาทีสุดท้ายแล้วก็โทรหาคุณแพทริก” เชนพยักหน้ารับ “ผมยังมีสำเนาบันทึกกล้องวงจรปิดอยู่ ถ้าคุณอยากดูผมจะให้เลขาฯ ส่งให้”
“ขอบคุณ”
“แล้วทางคุณสงสัยอะไรหรือเปล่า ฟิตซ์สตันไม่ได้มีศัตรูใช่ไหม” เชนหันไปหาแพทริกที่นั่งทำหน้าครุ่นคิดเงียบๆ มาพักใหญ่แล้ว
“ไม่มี อย่างดีก็คู่แข่งทางธุรกิจตามปกติ” เจ้าของเรือนผมสีทองกับดวงตาสีฟ้าเข้มจัดจนเกือบเป็นสีน้ำเงินส่ายหน้า
“ผมสงสัยว่าถ้าคุณแพมเดือดร้อนแล้วทำไมไม่ติดต่อพวกคุณแต่หันมาพึ่งผมแทน” มานึกดูหนุ่มคอดเวลล์ก็เสียใจอยู่หน่อยๆ ที่วันนั้นเอาแต่คุยโทรศัพท์จนไม่ได้ฟังที่เธอจะพูด
“ตอนที่แพมถูกส่งไปโรงพยาบาล แพมไม่มีโทรศัพท์หรือข้าวของอะไรติดตัวเลย ถ้าผมไม่ได้รู้เรื่องแพมมาขอความช่วยเหลือจากคุณก่อน ผมคงคิดว่าแพมโดนทำร้ายเพื่อชิงทรัพย์” แพทริกระบายลมหายใจเบาๆ “แล้วยิ่งได้มาฟังเรื่องจากคุณ ทุกอย่างก็ยิ่งดูแปลกไปหมด”
“แพมออกจากอังกฤษไปเกือบเดือนแล้ว ไปเที่ยวหลังเรียนจบน่ะ ตอนแรกเห็นว่าจะนัดไปกับเพื่อนสนิท...แฟนของพี่ชายคุณนั่นแหละ แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กัน แพมเลยต้องไปคนเดียว” จอห์น ฟิตซ์สตันเหม่อมองเพดาน คล้ายกำลังคิดอะไรอย่างอื่นไปด้วยระหว่างที่ปากเล่า “ปกติแพมจะติดต่อแม่เขาเป็นระยะๆ มีโทรหาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะส่งข้อความมาบอกว่าอยู่ไหนกำลังจะไปไหนอะไรทำนองนั้นน่ะ เช้าวันที่คุณติดต่อมาแพมก็เพิ่งส่งข้อความมา เราเลยไม่ได้เอะใจเลยว่าแพมกำลังเจออันตรายอะไรหรือเปล่า”
“มันอาจจะเกิดหลังจากนั้น...” แพทริกเดา “และมือถือแพมก็อาจมีปัญหาหรือเกิดอะไรซักอย่างที่ทำให้ติดต่อเราไม่ได้”
“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้” เชนนึกทบทวนภาพเหตุการณ์ในคืนวันนั้น เธอมีกระเป๋าสะพายใบเล็กแบบที่ผู้หญิงมักใช้ในงานกลางคืน แล้วมีอะไรอีก...เขาพยายามคิด ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “งานกาล่านั่นเป็นงานใหญ่และต้องมีบัตรเชิญถึงเข้างานได้ คุณแพมเข้างานได้ยังไง”
“แพมไม่ได้เล่าให้แม่ฟังด้วยว่าจะไปงาน แค่บอกว่าจะไปโรม ก่อนหน้านี้เขาลงไปเที่ยวทางใต้ของอิตาลีน่ะ” บุรุษสูงวัยบอก
“ตอนนี้ผมสงสัยผู้ชายคนหนึ่งอยู่” แพทริกหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าด้านในของเสื้อนอก ก่อนจะเปิดหน้าจอแล้วยื่นให้เชนดู “รูปนี้แพมส่งมาให้แม่ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ไปถึงอิตาลี บอกว่าได้เพื่อนใหม่ชื่อเปาโล เขาเป็นไกด์นำเที่ยวให้ด้วย เท่าที่รู้คือน่าจะเป็นคนทางใต้ ผมไม่แน่ใจว่าหมอนี่ตามแพมมาถึงโรมไหม แต่เพื่อนใหม่ที่แพมเล่าถึงว่าใช้เวลาด้วยกันในอิตาลีก็มีแค่คนนี้ พวกที่รู้จักกันผ่านๆ ก็ไม่น่าจะพาแพมไปงานเลี้ยงใหญ่ๆ แบบนั้น”
เชนหลุบดวงตาสีเฮเซลลงมองหน้าจอ มันเป็นภาพเซลฟี่คู่กันระหว่างเพราตากับผู้ชายหน้าตาดีสไตล์อิตาเลียนคนหนึ่ง
“คุณส่งรูปมาให้ผมหน่อย ผมจะลองส่งต่อไปให้พวกนักข่าวที่อิตาลีดู เผื่อจะมีใครพอหาข่าวอะไรได้ อย่างน้อยถ้าคิดว่าเป็นคนที่หาตั๋วไปงานนั้นได้วงค้นหาก็แคบลง คอดเวลล์เป็นสปอนเซอร์งานนั้นด้วย หาข้อมูลไม่น่ายาก”
“ได้”
แพทริกทำตามทันที เพียงไม่นานหลังจากนั้นเชนก็ได้ยินเสียงเตือนว่ามีข้อความถูกส่งเข้ามาดังมาจากในอกเสื้อ หากเขาก็ไม่ได้หยิบมันออกมาดูและออกปากถาม
“ผมขอถามได้ไหมว่าถ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วพวกคุณจะทำอะไรต่อ”
“ก็ต้องดูว่าอันตรายที่เกิดกับแพมคืออะไร แล้วมันจะลากยาวมาถึงอังกฤษไหม”
“มองในแง่ดีการที่แพมบอกคุณว่าจะกลับอังกฤษแปลว่าอยู่นี่อาจปลอดภัย แต่ใครจะรู้ ผมอยากแน่ใจว่าคนในครอบครัวผมจะปลอดภัยที่สุด” ลอร์ดฟิตซ์สตันบอก
เชนพยักหน้ารับ แต่ไม่ทันได้พูดอะไรพริ้มเพราก็เดินเข้ามาสมทบในวงสนทนา สีหน้าของหล่อนดูกังวลกึ่งไม่แน่ใจขณะมองสบตากับเขา
“แพมเพิ่งตื่นขึ้นมาค่ะ แล้วแกก็ถามหามิสเตอร์คอดเวลล์...”
พริ้มเพราเล่าว่าพอตื่นมาเพราตาก็ถามว่าเชนมาหรือยัง ชายหนุ่มฟังแล้วงุนงงหากก็เดาว่าอาจเป็นเพราะเขาเจอเธอเป็นคนท้ายๆ หรือไม่เธอก็อาจจะเริ่มจำอะไรได้ เนื่องจากพริ้มเพราบอกว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้พูดถึงเขาเลย ดังนั้นเขาจึงลุกตามสตรีสูงวัยไปหาเพราตาโดยดี
หญิงสาวกำลังนั่งอยู่บนเตียง ท่าทางมึนงง แต่พอเธอหันมาเจอเขาเดินเข้ามาในห้องรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏสว่างไสวบนดวงหน้าสวย
“ฉันรู้ว่าคุณต้องมา!”
พอเชนเดินมาหยุดตรงข้างเตียงปุ๊บ มือเรียวที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าบางๆ ก็ยื่นมาหาเขาทันทีและยึดท่อนแขนแข็งแรงเอาไว้
“คุณเป็นไงบ้าง”
“ก็อย่างที่เห็น...แต่ทุกคนก็คงเล่าให้คุณฟังหมดแล้วมั้ง” ดวงตาสีนิลตวัดไปมองครอบครัวแวบหนึ่งแล้วดึงความสนใจกลับมาหาเขาอีกรอบ “คุณไม่ควรถามฉันด้วยท่าทางเย็นชาแบบนี้นะ คุณควรปลอบฉัน ขนาดฉันยังไม่ว่าคุณสักคำที่คุณไม่ไปรับฉันที่โรมแถมมาช้าขนาดนี้”
ชายหนุ่มจ้องหน้าเพราตา พยายามทำความเข้าใจคำพูดของเธอ
“คุณจำเรื่องที่อิตาลีได้แล้วเหรอ”
“ไม่ได้” เธอทำหน้ามุ่ย “แต่ที่ฉันพูดมาทั้งหมดก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่อิตาลีซะหน่อย”
“งั้นคุณก็จำไม่ได้ใช่ไหมว่าเราเจอกันที่อิตาลี” เขาถามต่ออย่างไม่รอช้า
“เจอกัน? หมายความว่าคุณไปอิตาลีด้วยเหรอ” หญิงสาวเบิกตากว้าง ดูประหลาดใจอย่างยิ่ง กระนั้นเชนก็ไม่ใส่ใจ
“ถ้าจำไม่ได้แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าผมควรไปรับคุณที่โรมล่ะ”
“ก็คุณเป็นแฟนฉันไงคะ” สายตาของเพราตาฉายแววงุนงง “ตามที่แพทริกเล่าให้ฟังฉันหายตัวไปตั้งหลายวัน แถมมาเจออีกทีฉันก็บาดเจ็บด้วย คุณควรเป็นห่วงฉันไม่ใช่เหรอ”
แค่ประโยคแรกประโยคเดียวก็เพียงพอจะทำให้คนฟังอึ้งแล้ว ไม่ใช่แค่เชน หากยังรวมถึงสมาชิกครอบครัวฟิตซ์สตันที่ยืนล้อมเตียงอยู่ ทั้งสี่ต่างจับจ้องคนเจ็บเป็นตาเดียว จากนั้นก็พร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นส่งสายตาหากันไปมาโดยไม่ได้นัดหมาย เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดต่างงุนงงพอกัน
“ความจำของคุณที่หายไปคือตั้งแต่ไปถึงอิตาลีใช่ไหม ก่อนหน้านั้นคุณจำได้ครบไม่ใช่เหรอ” ในที่สุดเชนก็เป็นคนที่หันกลับไปถามคนเจ็บ
“จำได้” เพราตาพยักหน้า หากเพียงอึดใจต่อจากนั้นเธอก็ทำท่าเหมือนไม่แน่ใจ “คือฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ ฉันจำได้ว่าไปเที่ยวโปรตุเกส สเปน...”
“แล้วเรื่องที่อังกฤษล่ะ” แพทริกโพล่งแทรกขึ้นมา
“ก็ต้องจำได้สิ” หญิงสาวหันไปมองพี่ชายเลี้ยงแบบงงๆ
“งั้นคุณจำอะไรเกี่ยวกับผมได้บ้าง” เชนดึงความสนใจของเธอกลับมาอีกครั้ง
“ก็...ไม่มาก มันไม่ค่อยปะติดปะต่อ” สีหน้าเธอเจื่อนลงนิดหนึ่ง แล้วเธอก็ออกแรงบีบแขนเขาแน่นขึ้น “ฉันจำได้ว่าสำหรับเรามันค่อนข้าง อืม...ซับซ้อน แต่ฉันจำได้นะว่าฉันรักคุณ ถ้าฉันไม่ได้รักคุณจริงๆ ก็คงไม่รู้สึกว่าอยากเจอคุณขนาดนี้ แล้วแค่คุณมายืนอยู่ใกล้ๆ ฉันก็รู้สึกปลอดภัยแล้ว คือแบบถ้าไม่ได้เป็นแฟนกันอย่างน้อยก็ต้องดูๆ กันอยู่อ่ะ ฉันจำได้ด้วยว่าเราไปงานเลี้ยงด้วยกัน ปกติฉันไม่ควงใครไปงานนอกจากแพทริกนะ”
“งานเลี้ยงไหน” เชนชักรู้สึกว่าเส้นประสาทกำลังเขม็งเกลียว หลังจากที่ก่อนหน้านี้มันเริ่มตึงตัวมาครู่หนึ่งแล้ว
“ฉันไม่แน่ใจ จำได้ว่าตัวเองใส่ชุดสีเขียวๆ ฟ้าๆ...แล้วเราก็จูบกันด้วย” สมาชิกครอบครัวฟิตซ์สตันทั้งสามจ้องเพราตาเป็นตาเดียว สีหน้าตื่นตะลึงไปในทางเดียวกัน ขณะที่เจ้าตัวไม่ได้สนใจ ดวงตาสีนิลจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มคอดเวลล์ “เราเคยไปงานเลี้ยงด้วยกันแบบที่ฉันพูดจริงๆ ใช่ไหมคะ”
เชนสบตากับเธออย่างชั่งใจ ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับ เพียงเท่านั้นเธอก็ยิ้มแต้อย่างมีความสุข ทว่าพอเธอเบนสายตากลับไปหาครอบครัวก็ต้องแปลกใจที่พวกเขาล้วนทำสีหน้าแปลกประหลาด
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”
ก่อนที่ใครจะทันได้ตอบอะไร ประตูห้องก็ถูกเคาะ แล้วมันก็ถูกเปิดเข้ามาโดยบุรุษในชุดกาวน์และพยาบาล
“คนไข้ฟื้นแล้ว ขอแพทย์ตรวจสักหน่อยนะคะ”
“งั้นเดี๋ยวพวกเราไปรอข้างนอกนะ” แพทริกหันไปบอกหญิงสาวก่อนจะพยักพเยิดให้ทุกคนออกจากห้อง
“งานเลี้ยงที่คุณแพมพูดถึงคืองานที่อิตาลี”
เชนเปิดปากทันทีที่เขากับสมาชิกครอบครัวฟิตซ์สตันอีกสามคนหาที่ยืนคุยเหมาะๆ บริเวณโถงทางเดินของโรงพยาบาลได้แล้ว
“เออ ใช่ พยาบาลที่อิตาลีเอาชุดที่แพมใส่ในคืนนั้นมาให้ผม แต่ผมเห็นมันเปื้อนและขาดเลยทิ้งไป ชุดนั้นเป็นสีเขียวๆ ฟ้าๆ นี่แหละ” แพทริกทำท่านึกขึ้นได้
“งั้นแสดงว่าความจริงแล้วแพมก็พอจำเรื่องที่อิตาลีได้” ลอร์ดฟิตซ์สตันลูบคางเบาๆ
“แต่ก็น่าจะจำได้แบบสับสน เพราะแพมคิดว่านั่นคือเรื่องที่อังกฤษ” คนเป็นลูกชายออกความเห็น ดวงตาสีฟ้าเข้มเลื่อนไปมองเชน
“ความจริงตอนที่ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับงานเลี้ยงในอิตาลีให้ฟัง ผมไม่ได้เล่ารายละเอียดบางอย่าง” หนุ่มคอดเวลล์พ่นลมหายใจเบาๆ “คืนนั้นนอกจากคุณแพมเข้ามาขอความช่วยเหลือจากผม เธอยังขอให้ผมแสดงเป็นแฟนเธอ แล้วก็จูบผมด้วย”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ สีหน้าของพวกฟิตซ์สตันบ่งบอกถึงความมึนงงนึกไม่ถึง ขณะที่เชนตั้งข้อสันนิษฐาน
“มันต้องมีเหตุผลที่เธออยากให้ผมแสดงเป็นแฟน อาจจะเกี่ยวกับนายเปาโลอะไรนั่นก็ได้”
“เป็นไปได้” บุรุษสูงวัยพยักหน้ารับ
“อีกอย่างผมว่าเธออาจจะฝังใจกับความคิดหรือเหตุการณ์ในตอนนั้น พอสมองสับสนเลยเข้าใจว่าผมเป็นแฟนเธอ”
“นี่ก็เป็นไปได้เหมือนกัน” แพทริกเม้มริมฝีปาก
“แล้วเราจะเอายังไงกันดี” พริ้มเพรากังวล “หมอบอกว่าไม่รู้ความจำที่หายไปจะกลับมาหรือเปล่า เราควรพูดความจริงกับแพมไหม แล้วเราควรพูดแค่ไหน ลำพังตอนนี้แพมก็ดูสับสนมากแล้ว ถ้าจู่ๆ ไปพูดเรื่องที่ขัดกับสิ่งที่แพมเชื่อทั้งหมดทันที มันจะส่งผลอะไรหรือเปล่า”
“บางทีอาจต้องลองปรึกษาหมอดู”
เชนยืนมองครอบครัวฟิตซ์สตันที่กำลังเคร่งเครียด ไม่นึกเลยว่าจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวงสนทนานี้ด้วย และถึงจะไม่อยากเกี่ยวอย่างไรเขาก็คงต้องยอมเกี่ยว เขาไม่ใช่แฟนของเพราตา ไม่ใกล้เคียงสักนิด เขาจะปล่อยให้เธอเข้าใจผิดต่อไปไม่ได้