นกขุนทองในกรงนอนหลับไปแล้ว สองเท้าของมันเกาะบนผนังกรง ปากคาบซี่ไม้ไผ่ที่ทำเป็นโครงกรงนก เพราะน้ำหนักตัวของมันเทไปด้านหนึ่งกรงก็เลยเอียงเล็กน้อย ทำให้รู้สึกว่ามันจะลื่นตกลงมาได้ทุกเมื่อ
ท่านอนชวนขันอย่างนี้ทำให้มุมปากของเฉียวเจายกขึ้นอย่างสุดระงับ นางยื่นมือไปแตะหัวมันเบาๆ
นกขุนทองตกใจตื่นทันที ตัวไถลตกลงไปบนพื้นกรง มันตะเกียกตะกายกระโดดขึ้นไปบนไม้คอน ดวงตาเล็กกลมดิกเขม้นมองคนที่รบกวนห้วงนิทราอันแสนสุขของมัน
“ขอโทษด้วย”
นกขุนทองจ้องหน้าเฉียวเจาชั่วครู่ก่อนอ้าปากออก “น้องหญิง ยิ้มให้ท่านพี่หน่อยสิ”
เฉียวเจานิ่งงัน “…”
ตกลงเซ่าหมิงยวนมอบนกขุนทองเช่นนี้ให้นางหมายความว่าอะไรกันแน่
แม่นางเฉียวกลับเข้าห้องเอนกายลงบนเตียงเงียบๆ ก่อนจะค่อยๆ หลับไป
อาจูห่มผ้าห่มให้นางอย่างเบาไม้เบามือ แล้วถอยออกไปอย่างปราศจากสุ้มเสียง
ยามราตรีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉียวเจามิได้ลุกจากเตียงตรงเวลาดังเช่นที่ผ่านมา อาจูเดินย่องเข้ามาเห็นนางจับไข้จนสองแก้มแดงก่ำแล้วแตกตื่นทำอะไรไม่ถูก
“คุณหนู…” อาจูเอามืออังหน้าผากผู้เป็นนาย สัมผัสที่ร้อนจนน่าตกใจทำให้มือของนางสั่นกระตุก
“คุณหนู ท่านตื่นสิ” อาจูเขย่าตัวเฉียวเจาเบาๆ เห็นนางไม่ตื่นก็รีบไปรายงานเหอซื่อ
เหอซื่อได้ยินแล้วร้อนใจเจียนคลั่ง รีบสั่งคนไปเชิญหมอตามคำเล่าลือในเมืองหลวงมาตรวจอาการให้เฉียวเจาทันที
“ท่านหมอ บุตรสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอลุกขึ้นยืนลูบเคราพลางกล่าว “บุตรสาวท่านกลัดกลุ้มกังวลเกินไป ธาตุไฟคั่งค้างรบกวนจิต ข้าเขียนใบสั่งยาให้นางเทียบหนึ่ง กินแล้วพักผ่อนให้เต็มที่ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว ข้อสำคัญคือต้องทำใจให้สบาย อย่ากลัดกลุ้มกังวล”
เหอซื่อพยักหน้าถี่รัว นางรอจนหมอออกไปเขียนใบสั่งยาตรงโถงห้องอีกฝั่งหนึ่ง ค่อยจับมือร้อนจัดของเฉียวเจาไว้พร้อมกับแอบเช็ดน้ำตา “เจ้าลูกผู้นี้ยังเด็กยังเล็กมีเรื่องกลุ้มใจอะไรกัน ตอนแม่อายุเท่าเจ้ายังไม่รู้เลยว่าคำว่า ‘กลุ้มใจ’ เขียนเช่นไร”
เหอซื่อนั่งเฝ้าอยู่ตลอดจนใกล้เที่ยงวัน เฉียวเจาถึงลืมตาขึ้น
“เจาเจา เจ้าฟื้นได้เสียที ดีขึ้นบ้างหรือไม่”
แววงุนงงในดวงตาเฉียวเจาเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านแม่ เป็นยามอะไรแล้วเจ้าคะ”
“จวนเที่ยงวัน เจ้าหิวแล้วกระมัง แม่ให้คนต้มโจ๊กลูกบัวใส่ฝูหลิง* ไว้ให้เจ้า แม่ป้อนเจ้ากินสักชามนะ”
“เที่ยงวัน?” เฉียวเจาตื่นเต็มตา “ข้านอนจนถึงเวลานี้เชียวหรือนี่”
“ใช่น่ะสิ ยาที่ท่านหมอสั่งให้เจ้าต้องป้อนให้เจ้ากินทั้งที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ แม่เป็นห่วงแทบแย่” เหอซื่อโอบเฉียวเจาพลางทอดถอนใจ “เจาเจาเอ๊ย บอกแม่มา เจ้าไม่สบายใจเพราะอะไรกันแน่”
“ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว” เฉียวเจาพูดเสียงค่อย เรื่องพวกนั้นนางจะบอกกับท่านแม่ได้อย่างไร
เฉียวเจาพูดคำเดียวก็หันเหความสนใจของมารดาได้ดังคาด เหอซื่อกล่าวเร่ง “รีบไปยกโจ๊กมา”
อาจูตักโจ๊กลูกบัวใส่ฝูหลิงมารอท่าแต่แรก เหอซื่อยื่นมือรับไว้ “ให้ข้าป้อนเจ้าเถอะ”
“ท่านแม่ ข้ากินเองได้เจ้าค่ะ” เฉียวเจายื่นมือไปรอรับชามโจ๊ก
เหอซื่อขึงตาใส่นาง “อยู่เฉยๆ”
เฉียวเจาไม่พูดอะไรอีก กินโจ๊กหมดทั้งชามอย่างว่านอนสอนง่ายแล้วจะลุกขึ้น
“ไม่นอนลงดีๆ จะไปทำอะไรอีกหรือ” เหอซื่อยึดตัวนางไว้
“ท่านแม่ ข้าต้องไปจวนกวนจวินโหวเจ้าค่ะ”
เหอซื่ออ้าปากกว้าง “เจาเจา เจ้าไม่สบายอยู่ยังจะไปจวนกวนจวินโหวทำอะไร”
“ท่านปู่หลี่ให้ข้าใช้ตำรับยาที่ท่านทิ้งไว้ให้ช่วยรักษาใบหน้าของคุณชายเฉียวไม่ใช่หรือ ข้าต้องไปทุกวันเจ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้เฉียวเจาไปที่จวนกวนจวินโหวจะใช้ข้ออ้างนี้ เพราะคนทั้งสกุลเฉียวล้วนเคารพนับถือหมอเทวดาหลี่อย่างมาก ย่อมไม่มีเสียงทักท้วง
เมื่อได้รับถ่ายทอดความรู้จากผู้อื่น เป็นธรรมดาที่ต้องทำตามคำฝากฝังของเขาให้ลุล่วง นี่เป็นคติพื้นฐานในการประพฤติตน
ทว่าวันนี้เหอซื่อไม่ยอมแล้ว นางปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ปกติแม่ตามใจเจ้าเสมอ แต่วันนี้ไม่ได้ วันนี้เจ้าอย่าไปที่ใดทั้งนั้น อยู่กับเรือนพักรักษาตัวให้ดีๆ”