บทที่ 346
เฉียวเจาไม่ปริปาก
“ร้อนตัวแล้วรึ ไม่กล้าพูดแล้วกระมัง” เจียงซือหร่านพูดเยาะ
“คุณหนูหลี ไฉนเจ้าไม่กล่าววาจา” ไทเฮาเอ่ยถาม
เฉียวเจาก้มศีรษะลงเล็กน้อย เอ่ยอย่างอ่อนน้อมว่า “ทูลไทเฮา เพราะหม่อมฉันพูดกับคุณหนูเจียงในอิริยาบถนี้ไม่เหมาะไม่ควรเพคะ”
นางอยู่ในท่าถวายคำนับขณะพูดตอบไทเฮาตลอดเวลา ไทเฮาไม่เรียกนางลุกขึ้น นางย่อมจะยืดตัวขึ้นยืนตรงโดยพลการไม่ได้แน่นอน แต่นี่มิได้หมายความว่านางจะพูดกับเจียงซือหร่านในท่วงท่าเช่นนี้
“ไม่เหมาะไม่ควรอะไรหรือ” เจียงซือหร่านซึ่งไม่ใคร่ใส่ใจเรื่องธรรมเนียมมารยาทมาแต่ไหนแต่ไรยังคิดตามไม่ทันในชั่วขณะ
เฉียวเจาแย้มปากออก “เกิดมีเสียงเล่าลือออกไปเช่นนี้ เกรงว่าชื่อเสียงของคุณหนูเจียงจะด่างพร้อยได้”
เป็นบุตรสาวของขุนนางดุจเดียวกัน ปล่อยให้คุณหนูท่านหนึ่งอยู่ในท่าถวายคำนับไทเฮายามพูดจากับคุณหนูอีกท่านหนึ่ง เช่นนั้นคุณหนูคนที่รับการคำนับโดยไม่หลบเลี่ยงจะดูหยิ่งผยองไม่รู้ธรรมเนียมมารยาทเกินไป
เมื่อเฉียวเจากล่าวเตือนขึ้น เจียงซือหร่านคิดถึงจุดนี้ได้ทันใด ในใจนางกรุ่นโกรธเป็นอันมาก “เจ้า…”
นางต้องเจตนาแน่ๆ!
“ลุกขึ้นเถอะ” สุ้มเสียงของหยางไทเฮาราบเรียบ นางมองเฉียวเจาด้วยแววตาลุ่มลึกยิ่ง
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ผู้หนึ่งในสำนักราชบัณฑิตจะควบคุมอารมณ์ได้ดีและไม่เจียมตัวไม่โอหังเยี่ยงนี้
ถ้าเด็กสาวอย่างนี้เป็นคนดีย่อมจะดีมากเป็นธรรมดา แต่หากเป็นคนชั่ว…
เฉียวเจายืดตัวขึ้น การย่อเข่าเป็นเวลานานทำให้นางซวนเซไปเล็กน้อยก่อนทรงตัวไว้ได้ในพริบตา นางเอ่ยถามอย่างสุขุมใจเย็น “คุณหนูเจียงจะถามคำถามเมื่อครู่นี้ซ้ำอีกคราได้หรือไม่”
“เจ้าเจตนาใช่หรือไม่” เจียงซือหร่านขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห
หลีซานผู้นี้ไม่เพียงตั้งแง่กับนางไปเสียทุกเรื่องไม่ว่า ยังชอบยกตนสูงส่งกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่งเสมอ แค่บุตรสาวของขุนนางขั้นหกเล็กๆ ผู้หนึ่ง นึกว่าตนเองเป็นองค์หญิงหรือไร อาศัยอะไรพูดกับนางเช่นนี้
ไม่ถูกสิ ถึงเป็นเจินเจินยังพูดกับนางอย่างสุภาพมีมารยาท
“คุณหนูเจียงกล่าวล้อเล่นแล้ว เหตุผลที่ข้าขอให้ท่านถามซ้ำอีกหน เพราะเมื่อครู่ข้าจดจ่อกับการตอบคำถามของไทเฮาเลยไม่กล้าแบ่งสมาธิ ดังนั้นจึงไม่ได้ฟังว่าท่านถามอะไรอย่างชัดเจน”
เจียงซือหร่านโดนโต้กลับ จึงกำมือแน่นจนข้อกระดูกนิ้วขาวซีดไปหมด
หยางไทเฮาลอบส่ายหน้า นางมองออกในที่สุดว่าเด็กสาวนางนี้วาจาคมคายไม่เปิดช่องโหว่สักนิด เจียงซือหร่านหมายจะเป็นต่อในเชิงคารมนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
หยางไทเฮากระแอมกระไอให้คอโล่ง “เอาล่ะ หร่านราน เจ้ามีอะไรก็ถามคุณหนูหลีซานเถอะ” ว่าแล้วนางก็ชายตามองเฉียวเจานิ่งๆ เป็นเชิงบอกอีกฝ่ายว่าอย่าตีฝีปากกับเจียงซือหร่าน
เจียงซือหร่านจ้องเฉียวเจาตาเขม็งพลางถาม “ข้าขอถามว่าเพราะอะไรหลังจากเจินเจินใช้ยาที่เจ้าให้ข้ามากลับอาการรุนแรงขึ้น”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “คุณหนูเจียงเอาแต่พูดว่าองค์หญิงทรงใช้ยาที่ข้าให้แล้วพระอาการรุนแรงขึ้น แต่ไม่ได้บอกข้าเลยว่าองค์หญิงทรงมีบาดแผลที่ใดกันแน่ เป็นแผลจากอาวุธหรือแผลไฟไหม้ รอยแผลนูนขึ้นหรือบุ๋มลง และอยู่ตรงตำแหน่งใด”
“มันเกี่ยวอะไรกันด้วย” เจียงซือหร่านถามแย้งกลับ
“เกี่ยวกันแน่นอน สาเหตุที่เกิดแผลตลอดจนลักษณะและตำแหน่งของรอยแผล ยาที่ใช้รักษาล้วนแตกต่างกันไป”
“แต่ตอนนั้นเจ้าไม่ได้บอกว่าต้องระวังจุดนี้” เจียงซือหร่านไม่ยอมจำนน
ถึงจะแตกต่างกันก็ไม่ใช่ว่าพอใช้แล้วต้องแย่ลง นี่จะรังแกว่านางไม่รู้เรื่องพวกนี้ชัดๆ
เฉียวเจาไม่ปฏิเสธ “ข้าไม่ได้บอก เพราะไม่ว่ายาของท่านปู่หลี่ใช้กับรอยแผลแบบใด และต่อให้แสดงสรรพคุณไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยไม่มีทางเกิดผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม”
เจียงซือหร่านแค่นเสียงเยาะ “ดังนั้นเจ้ายังมีอะไรแก้ตัวได้อีก ยานั่นต้องไม่ใช่ของหมอเทวดาหลี่แน่นอน แต่เป็นยาสุ่มสี่สุ่มห้าที่เจ้าเอามาหลอกลวงข้า”
นางพูดแล้วเบนหน้าไปมองหยางไทเฮา “ไทเฮา พระองค์ทรงได้ยินแล้วนะเพคะ นางยอมรับเองกับปาก จะไม่ทรงลงทัณฑ์นางระบายความแค้นให้เจินเจินหรือเพคะ”
หยางไทเฮามองเฉียวเจาด้วยสายตาดุดัน