ใบหน้าของเฉียวเจาปราศจากแววแตกตื่นลนลานให้เห็นสักกระผีก ยามพูดกับเจียงซือหร่านนางจะประสานสายตากับอีกฝ่ายตรงๆ แต่ตอนพูดไขข้อสงสัยของหยางไทเฮาก็จะหลุบตาลงทันที “ไทเฮาเพคะ ได้ยินคำกล่าวของคุณหนูเจียง หม่อมฉันแน่ใจได้ว่าองค์หญิงไม่ได้ทรงมีรอยแผลอย่างเดียวแน่นอน แต่ยังต้องมีปัญหาอื่นอีกด้วยเพคะ”
นัยน์ตาของหยางไทเฮาทอประกายวูบหนึ่ง สภาพของเจินเจินนั่นมิใช่แค่เรื่องรอยแผลบนหน้าจริงๆ
“ไทเฮา ไม่ทราบว่าพระองค์จะทรงขัดข้องหรือไม่หากหม่อมฉันจะขอเข้าเฝ้าองค์หญิงเพคะ”
“หลีซาน เจ้าทำร้ายเจินเจินเพียงนี้แล้วยังไม่พอใจหรือ ยังอยากจะหัวเราะเยาะนางอีกใช่หรือไม่”
เฉียวเจามองเจียงซือหร่านด้วยแววตาปึ่งชาน้อยๆ นางนึกในใจว่า คุณหนูเจียง เจ้าอยากเห็นข้าเคราะห์ร้ายจนทุ่มสุดตัวถึงเพียงนี้ ก็ไม่รู้ว่าบิดาเจ้ารู้เรื่องหรือไม่
“มองอะไร” สายตาผิดแปลกไปของอีกฝ่ายทำให้เจียงซือหร่านรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
เฉียวเจายิ้มบางๆ “คำกล่าวนี้ของคุณหนูเจียง ข้ารับไว้ไม่ไหวหรอกนะ ประการแรกองค์หญิงทรงมีปัญหาอะไรน่าจะไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าตั้งแต่ต้น ประการที่สองยาลบรอยแผลเป็นท่านมาขอเอง ข้าไม่รู้ว่าจะมอบให้องค์หญิง ด้วยเหตุนี้คุณหนูเจียงบอกว่าข้าทำร้ายองค์หญิง เช่นนั้นเป็นการประเมินข้าสูงไปแล้วจริงๆ ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือยาลบรอยแผลที่ข้ามอบให้คุณหนูเจียงไม่มีทางทำให้อาการรุนแรงขึ้น หากอาการขององค์หญิงแย่ลง นั่นจะต้องยังมีปัญหาอื่นอีกเป็นแน่”
นางพูดถึงตรงนี้แล้วเม้มปาก ทอดสายตามองตรงไปที่เจียงซือหร่าน “คุณหนูเจียงห้ามไม่ให้ดูอาการขององค์หญิงเป็นการยืนยัน กลับจะให้ข้ารับข้อกล่าวหานี้ ออกจะไม่สมเหตุสมผลและไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นไปบ้างหรือไม่”
“เจ้าพูดเหลวไหล…”
หยางไทเฮาโบกมือไปมาแล้วออกคำสั่ง “ไปเชิญองค์หญิงเก้ามา”
ลี่ผินซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างเปล่งเสียงพูดอย่างทนไม่ไหวในที่สุด “ไทเฮาเพคะ องค์หญิงเพิ่งหมดสติไปเพราะทนสะเทือนใจไม่ไหว หม่อมฉันกลัวว่านาง…”
สีหน้าของหยางไทเฮาขรึมลงเล็กน้อย “เจินเจินไม่ใช่เด็กที่อ่อนแอเช่นนั้น”
ในบรรดาหลานสาวหลายคน นางชมชอบเจินเจินมากที่สุด กระนั้นไม่ใช่เพราะว่านางมีรูปโฉมงดงามที่สุด แต่เด็กคนนี้มีความเข้มแข็งอดทนในแบบที่ผู้เป็นองค์หญิงของราชวงศ์จะขาดเสียไม่ได้
ลี่ผินไม่กล้าพูดอะไรอีก ดวงตาคู่งามที่มองตวัดไปที่ตัวเฉียวเจาฉายแววขุ่นเคืองวูบหนึ่ง
เฉียวเจาหลุบตาลงยืนนิ่งๆ ดูสง่าดุจต้นสน
ต่อจากนั้นหยางไทเฮาไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด หมุนเมล็ดเหอเถาในมือไปเรื่อยๆ
เสียงเมล็ดเหอเถาเสียดสีกันไปมาทำให้เจียงซือหร่านเริ่มกระสับกระส่ายอย่างปราศจากเหตุผล
เหตุใดไทเฮาเรียกเจินเจินมาตามคำพูดของหลีซาน หรือว่าเมื่อความวุ่นวายนี้จบลงจะเป็นนางที่เคราะห์ร้ายเช่นเคยหรือ
โอ๊ยๆๆ…จู่ๆ ข้าคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ต้องเป็นเพราะในตำหนักร้อนเกินไปแน่!
ไม่นานนักขันทีส่งเสียงขานบอก “องค์หญิงเก้าเสด็จ…”
เฉียวเจาชำเลืองหางตามองไป เห็นองค์หญิงเจินเจินคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่งบางสาวเท้าเข้ามา ไม่ได้พบกันเพียงไม่กี่วันนางผ่ายผอมลงไปมากราวกับจะแบกรับน้ำหนักอาภรณ์บนตัวไม่ไหวกระนั้น
พอองค์หญิงเจินเจินสบตากับเฉียวเจาก็สะดุ้งโหยงในทีแรก แววตาของนางไหวระริก จากนั้นดึงสายตาคืนมาแล้วเดินไปเบื้องหน้าหยางไทเฮา แสดงคำนับอย่างสุภาพเรียบร้อย
“ถวายพระพรเสด็จย่าเพคะ”
“เจินเจิน มานั่งตรงนี้”
องค์หญิงเจินเจินเดินไปนั่งตรงที่นั่งถัดลงมาจากไทเฮา
“เจินเจิน เจ้ารู้จักคุณหนูในอาภรณ์เรียบง่ายท่านนี้หรือไม่” หยางไทเฮาไต่ถาม
นัยน์ตาคู่งามขององค์หญิงเจินเจินที่โผล่พ้นจากผ้าโปร่งบางอ่านความรู้สึกไม่ออกเท่าไรนัก นางตอบเสียงเรียบ “รู้จักเพคะ นางคือคุณหนูหลีซาน”
“ยาที่เจ้าใช้เป็นของที่นางให้หร่านราน?”
องค์หญิงเจินเจินนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเบาๆ
หยางไทเฮากวาดตามองเฉียวเจาปราดหนึ่ง นางกล่าวเสียงขรึม “เจินเจิน ปลดผ้าคลุมหน้าออกเถอะ ให้คุณหนูหลีซานได้ดูชัดๆ”