หยางไทเฮาเอ่ยขึ้นเสียงเอื่อยๆ “เห็นแล้วนะ?”
เฉียวเจาย่อกายคารวะ “เห็นแล้วเพคะ”
“แล้วคุณหนูหลีซานยังอยากพูดอะไรกับข้าอีกหรือไม่”
เฉียวเจากล่าวอย่างทอดถอนใจ “อันที่จริงหม่อมฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณหนูเจียงเพคะ”
“เจ้าพูด” หยางไทเฮายกถ้วยน้ำชาขึ้น
เฉียวเจาหันไปมองเจียงซือหร่าน “คุณหนูเจียง เห็นอาการขององค์หญิงแล้ว ข้าเพียงอยากบอกว่าใช้ยาไม่ถูกโรคทำร้ายคนถึงแก่ความตายได้”
“เจ้าหมายความว่าอะไร” เจียงซือหร่านสังเกตเห็นทุกคนมองมาที่ตัวนางเป็นตาเดียวกันแล้วหน้าชาวาบๆ
เฉียวเจามององค์หญิงเจินเจินอย่างสงสารเห็นใจถึงกล่าวอธิบาย “พระพักตร์ขององค์หญิงมีอาการเนื้อเน่าเพราะพิษแทรกซึมเข้าไป ความจริงแล้วที่มีน้ำเหลืองไหลจะเกิดในระยะที่พิษลามออกมาด้านนอก ตอนนี้ยังห่างจากช่วงที่ตกสะเก็ดอีกนาน เผอิญว่าคุณหนูเจียงเอายาลบรอยแผลให้องค์หญิงใช้ เท่ากับเป็นการฝืนเร่งให้จุดที่เนื้อเน่าเหล่านี้ตกสะเก็ดเร็วขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้พิษจะคั่งอยู่ใต้ผิวทั้งหมด ฤทธิ์ของพิษกับยาก็เป็นดั่งกองกำลังสองฝ่ายที่สู้รบกัน การศึกยิ่งดุเดือด สมรภูมิยิ่งแหลกลาญ…”
นางไม่กล่าวประโยคหลังต่อ ทุกคนกลับแจ่มแจ้งกันหมดแล้ว
ใบหน้าขององค์หญิงเจินเจินเผือดขาว นางมองไปทางเจียงซือหร่าน
เจียงซือหร่านแตกตื่นอยู่ในใจ นางกัดริมฝีปากกล่าวว่า “เจินเจิน นางพูดจาส่งเดชเพื่อปัดความรับผิดชอบเป็นแน่! พิษแทรกซึม กองกำลังสองฝ่ายสู้รบอะไรกัน นางมิใช่หมอสักหน่อย พูดจาเหลวไหลสิ้นดี!”
พูดจาเหลวไหลหรือไม่ คนอื่นๆ ในที่นี้ต่างคิดเห็นกันไปอีกทางหนึ่ง
หยางไทเฮาวางถ้วยน้ำชาลง ผินหน้ามององค์หญิงเจินเจินแวบหนึ่ง ค่อยเอ่ยถามเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน เจ้าบอกว่าใบหน้าขององค์หญิงเก้ากลายเป็นอย่างนี้เพราะพิษแทรกซึมเข้าไป จะพิสูจน์เช่นไรว่าเจ้ามิได้กล่าวเลื่อนลอยเล่า”
“ง่ายมากเพคะ หม่อมฉันขับพิษบนใบหน้าขององค์หญิงออกมาได้”
องค์หญิงเจินเจินลุกพรวดขึ้นยืน นางพูดเสียงหลง “ถ้อยคำนี้ของเจ้าเป็นความจริงหรือ”
เฉียวเจายังเยือกเย็นดุจเดิม “องค์หญิงอย่าทรงตื่นเต้น หม่อมฉันยังมีเรื่องที่ต้องบอกไว้ล่วงหน้า หลังขับพิษออกมาเพียงทำให้พระพักตร์ไม่เน่าต่ออีก ดูแล้วจะดีขึ้นกว่าขณะนี้ แต่รอยแผลที่เหลืออยู่ต้องรักษาด้วยอีกวิธีหนึ่งเพคะ”
“ขับพิษบนใบหน้าองค์หญิงเก้าออกก่อนค่อยว่ากัน” หยางไทเฮาพูดชี้ขาดทันใด
ลี่ผินไม่วางใจอย่างมาก “ไทเฮา นี่ต้องขอความเห็นจากหมอหลวงก่อนหรือไม่เพคะ”
ปล่อยให้เด็กสาวนางหนึ่งปู้ยี่ปู้ยำใบหน้าของบุตรสาวข้า จะสะเพร่าเกินไปแล้วกระมัง
ไทเฮาปรายตามองลี่ผินแล้วถามองค์หญิงเจินเจินโดยตรง “เจินเจิน เจ้าคิดอย่างไร”
องค์หญิงเจินเจินตอบอย่างเฉียบขาด “เชิญคุณหนูหลีซานรักษาให้หม่อมฉันเถอะเพคะ”
แม้แต่หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงยังอับจนหนทาง ยังจะขอความเห็นอะไรอีก ในเมื่อจะให้คนอื่นรักษา มิสู้ทำใจเด็ดให้รู้แล้วรู้รอดกันไปจะดีกว่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ องค์หญิงเจินเจินผงกศีรษะกับเฉียวเจาเล็กน้อย “ไหว้วานคุณหนูหลีแล้ว”
หยางไทเฮาเอ่ยเสริมขึ้น “คุณหนูหลีซานต้องการสิ่งใดก็บอกกับไหลสี่ได้เลย”
“จัดเตรียมห้องที่เงียบสงบสักหน่อยได้หรือไม่เพคะ” เฉียวเจาไต่ถามหยางไทเฮา
นางพยักหน้า “ได้ ไหลสี่ พาองค์หญิงเก้ากับคุณหนูหลีซานไปที่ห้อง”
เจียงซือหร่านหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่เชื่อว่าสตรีที่อายุน้อยกว่าตนผู้นี้จะรักษาโรคและถอนพิษเป็น นางก้าวขาเดินตามไปด้วย
เฉียวเจาเขียนรายชื่อสิ่งของที่ต้องการส่งให้ไหลสี่กงกงไปรวบรวม เมื่อหาสมุนไพรได้ครบก็ผสมตามสัดส่วน ค่อยเติมพวกน้ำผึ้งทำเป็นตัวยาเหนียวข้น หลังฝังเข็มให้องค์หญิงเจินเจินเสร็จก็เอายาทาใบหน้านางจนทั่วแล้วบอกเสียงนุ่ม “องค์หญิงบรรทมครู่หนึ่งก่อน พอตื่นบรรทมก็ล้างยาทาบนหน้าออกได้เพคะ”
“ข้า…นอนไม่หลับ…” เพราะบนใบหน้าทายาไว้ ประกอบกับจิตใจที่หวาดหวั่นว้าวุ่นในยามนี้ เสียงพูดขององค์หญิงเบาหวิว
ใบหน้านางยังมีทางรักษาได้จริงๆ หรือ
“หลับได้เพคะ” เฉียวเจายืนสองมือไปเริ่มนวดหนังศีรษะนางเบาๆ
ความง่วงงุนจู่โจมมา องค์หญิงเจินเจินหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเจาลุกขึ้น ลี่ผินที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็ลุกขึ้นยืนตาม “คุณหนูหลี องค์หญิงนาง…”
“บรรทมไปแล้ว ทางที่ดีพระสนมทรงรออยู่ข้างนอกปล่อยให้องค์หญิงได้บรรทมหลับสนิทสักครู่เพคะ” เฉียวเจาบอกเสียงเบา
“นางจะนอนไปถึงเมื่อไร”
“ราวครึ่งชั่วยามกระมังเพคะ”
ครึ่งชั่วยามต่อมาองค์หญิงเจินเจินตื่นขึ้น เฉียวเจาล้างหน้าให้นางด้วยตนเองแล้วบอกเสียงนุ่ม “กงกงโปรดหยิบคันฉ่องมาให้องค์หญิงทอดพระเนตรด้วยเจ้าค่ะ”
คันฉ่องวางอยู่เบื้องหน้า องค์หญิงเจินเจินกลับก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นเสียที
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.