บทที่ 348
องค์หญิงเจินเจินอิดๆ เอื้อนๆ ไม่ยอมเงยหน้า ลี่ผินเข้าไปจับมือนางอย่างอดใจไม่อยู่ “เจินเจิน ให้เสด็จแม่ดูสิว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
นางยังก้มศีรษะไม่พูดไม่จาดุจเดิม
เจียงซือหร่านเอ่ยเร่ง “เจินเจิน ไฉนเจ้าไม่เงยหน้าขึ้นเล่า”
“ข้า…” องค์หญิงเจินเจินหลับตาลงแล้วเงยหน้าขวับ ลืมตาขึ้นช้าๆ ท่ามกลางเสียงอุทานเบาๆ ของคนอื่น นางมองไปที่คันฉ่องด้วยจิตใจอันหวาดหวั่นเหลือแสน
เด็กสาวในคันฉ่องมีรูปหน้าทรงไข่ใหญ่เท่าฝ่ามือ ไม่มีอาการเนื้อเน่าน้ำเหลืองไหลซึมบนใบหน้าให้เห็น แต่มีสะเก็ดแผลเป็น มาตรว่ายังน่าขยะแขยงดังเก่า แต่อาการดีขึ้นกว่าก่อนหน้ามากแล้ว
นางหันขวับไปมองเฉียวเจา
ลี่ผินยกมือกุมปากพูดขึ้น “เจินเจิน หน้าเจ้าไม่เน่าแล้ว”
องค์หญิงเจินเจินไม่พูดตอบมารดา แต่สาวเท้าเร็วรี่ไปตรงหน้าเฉียวเจาคว้ามือนางขึ้นมา “เจ้าทำได้อย่างไร”
เพลานี้ไหลสี่เปล่งเสียงบอก “องค์หญิง ไทเฮามีกระแสรับสั่งไว้ว่าเมื่อพระองค์ทรงทราบผลแล้วให้ไปเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงเจินเจินสงบอารมณ์ชั่วอึดใจ ถึงผงกศีรษะกับไหลสี่อย่างมีมารยาท “ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้”
เดิมทีองค์หญิงเจินเจินรับการรักษาที่ห้องในมุมเปลี่ยวไกลห้องหนึ่งของตำหนักฉือหนิงนี่เอง ด้วยเหตุนี้คนทั้งกลุ่มเดินเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาก็มาถึงเบื้องพระพักตร์หยางไทเฮา
สายตาเรียบเฉยของนางมองไปทั่วดวงหน้าองค์หญิงเจินเจินแล้วฉายแววประทับใจเพิ่มขึ้นหลายส่วน “ถึงกับไม่เน่าแล้วจริงๆ”
“เพคะ หม่อมฉันคิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้ผลถึงเพียงนี้ ขอบพระทัยเสด็จย่าที่เรียกตัวคุณหนูหลีเข้าวังเพื่อหม่อมฉันเพคะ”
ไหลสี่ซึ่งพาองค์หญิงเจินเจินมาที่นี่เอ่ยชมในใจ มิน่าองค์หญิงเก้าถึงเป็นที่โปรดปรานของไทเฮามากที่สุด สตรีนางหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้แล้วยังไม่ลืมเอาอกเอาใจผู้อาวุโส ถือว่าทุ่มเทเอาการโดยแท้
ถ้อยคำขององค์หญิงเจินเจินทำให้หยางไทเฮารู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอันมาก นางมองไปทางเฉียวเจาด้วยสีหน้าละมุนลงพลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ดูไม่ออกจริงๆ ว่าคุณหนูหลีซานอายุยังน้อยกลับเป็นผู้มีความสามารถสูงส่งผู้หนึ่ง”
เฉียวเจาย่อเข่าแสดงคารวะ “ไทเฮาตรัสชมเกินไป หม่อมฉันเพียงโชคดีได้รับการชี้แนะสั่งสอนจากท่านปู่หลี่เพคะ”
หยางไทเฮามิได้เชื่อถือเป็นจริงเป็นจัง นึกว่านางรักสวยรักงามตามประสาเด็กสาว ถึงตั้งใจขอตำรับยาถนอมบำรุงผิวพรรณจากหมอเทวดาหลี่เท่านั้น
“คุณหนูหลีซาน ในเมื่อเจ้ารักษาอาการเน่าที่ใบหน้าองค์หญิงเก้าได้ ไม่รู้ว่ารอยแผลบนใบหน้านางยังมีหนทางหรือไม่”
ได้ยินหยางไทเฮาเอ่ยถามคำนี้ องค์หญิงเจินเจินใจเต้นระทึกไปหมด จับจ้องเฉียวเจาอย่างไม่วางตา นางได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นรัวแรงมากราวกับพร้อมจะกระดอนออกมานอกอกได้ทุกเมื่อ แต่นางไม่คิดที่จะสะกดมันไว้ นับแต่ชั่วเสี้ยวขณะที่เกิดความผิดปกติที่ใบหน้า นางนึกว่าตนเองคงหมดความรู้สึกใจเต้นไปแล้ว
จากสิ้นหวังจนมีความหวังริบหรี่แล้วกลับไปสิ้นหวัง บัดนี้เริ่มมีความหวังรำไรอีกครั้ง หลีซานจะให้นางตั้งความหวังนี้ได้หรือไม่
ทุกคนจ้องมองเฉียวเจาตาเขม็ง เห็นเรียวคิ้วของนางมุ่นน้อยๆ คล้ายลำบากใจมาก
บรรยากาศที่นิ่งเงียบนี้ดำเนินไปครู่ใหญ่ องค์หญิงเจินเจินเอ่ยถามขึ้นด้วยสุ้มเสียงสั่นเทา “ใช่หรือไม่ว่า…หมดหนทาง”
“คุณหนูหลีซาน มีอะไรก็บอกมาได้เต็มที่” หยางไทเฮาอ้าปากพูด
“ยาที่รักษาองค์หญิงให้หายสนิทได้มิใช่ไม่มี ทว่ายุ่งยากอยู่บ้าง…”
“คุณหนูหลี เจ้าหมายถึงว่าใบหน้าข้ายังเยียวยาได้จริงหรือ” องค์หญิงเจินเจินตาเป็นประกาย
เฉียวเจาพยักหน้าอย่างละล้าละลัง “หากปรุงยาขี้ผึ้งที่ถูกกับอาการได้ องค์หญิงก็จะทรงหายดีดังเดิมเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินโงนเงนถอยหลังไปหลายก้าวถึงฝืนทรงตัวไว้ได้คล้ายไม่อยากจะเชื่อ นางพูดพึมพำว่า “เสด็จย่า เสด็จแม่ พวกพระองค์ทรงได้ยินแล้วใช่หรือไม่เพคะ นางบอกว่าใบหน้าข้าสามารถหายดีดังเดิมได้ ยังสามารถหายดีดังเดิมได้”