“ใช่แล้วๆ” ลี่ผินพยักหน้าหงึกหงัก สายตาที่มองไปทางเฉียวเจาไม่แฝงแววขุ่นข้องเฉกเช่นก่อนหน้าอีก ซ้ำยังกระตือรือร้นเหลือหลาย “คุณหนูหลีซาน ต้องการสมุนไพรอะไรบ้าง เจ้าบอกมาได้เต็มที่ ไม่ว่ายากเย็นเพียงใดก็ไม่เป็นไร ขอแค่รักษาใบหน้าองค์หญิงหายได้เป็นพอ”
ฝ่ายหยางไทเฮาสุขุมกว่ามาก นางพยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าว “ลี่ผินกล่าวไม่ผิด คุณหนูหลีซาน เจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกมาได้เลย”
เด็กสาวซึ่งตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนดูเหมือนลำบากใจมากจริงๆ นางตรึกตรองครู่หนึ่งถึงตัดสินใจพูดออกมา “สมุนไพรที่ใช้ทำยาขี้ผึ้งล้วนเป็นของที่พบได้บ่อย แต่มีส่วนผสมหลักหนึ่งในนั้นมีชื่อเรียกว่ามุกนิ่มกลับโตในเปลือกหอยชนิดหนึ่งทางทะเลแดนใต้ เป็นส่วนผสมตัวนี้นี่เองที่ค่อนข้างยุ่งยาก…”
ลี่ผินไม่รอนางกล่าวจบก็เอ่ยขึ้น “นี่ง่ายดายมาก หากในเมืองหลวงไม่มี ทางวังหลวงจะส่งคนไปหาซื้อจากแดนใต้เอง”
หยางไทเฮาขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “ลี่ผิน ฟังคุณหนูหลีซานพูดให้จบก่อน”
เห็นเด็กสาวมีท่าทางลำบากใจเช่นนี้ เกรงว่าจะมิใช่เรื่องง่ายดายอย่างนั้น
ลี่ผินไม่กล้ากล่าวต่ออีก นางขานรับเสียงงึมงำ
หยางไทเฮาพยักหน้ากับเฉียวเจาเป็นเชิงบอกให้นางพูดต่อไป
“หลังจากเก็บมุกนี้มาแล้วต้องปรุงเป็นยาทันที ไม่เช่นนั้นจะสูญเสียสรรพคุณทางยาไป ดังนั้นอยากทำยาขี้ผึ้งถวายองค์หญิง หม่อมฉันจำเป็นต้องเดินทางไปด้วยตนเองเพคะ”
คำกล่าวนี้ดังขึ้น ในโถงตำหนักเงียบกริบในพริบตา
หยางไทเฮาเอ่ยถามราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ “ข้าได้ยินว่าหมอเทวดาหลี่ประสบเคราะห์ร้ายเพราะออกทะเล หรือเกี่ยวข้องกับมุกนิ่มชนิดนี้เช่นกัน”
สีหน้าของเฉียวเจาสลดลง แววหม่นเศร้าจุดวาบขึ้นในดวงตา นางกล่าวเสียงค่อย “เพคะ ท่านปู่หลี่อยากจะรักษาใบหน้าของคุณชายเฉียว จึงตัดสินใจไปเก็บมุกนิ่มที่ทะเลแดนใต้ เพราะมันเป็นตัวยาที่ขาดไม่ได้ของยาลบรอยแผลชั้นยอดเพคะ”
“คุณชายเฉียว?”
ไหลสี่ยื่นหน้าไปกระซิบบอกข้างหูไทเฮา “น่าจะหมายถึงหลานชายของจอมปราชญ์เฉียวจัว ใบหน้าคุณชายเฉียวผู้นี้โดนไฟไหม้เป็นแผลพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของหยางไทเฮาซึ่งจับอยู่ที่ตัวเฉียวเจาแฝงนัยชอบกล “หมอเทวดาหลี่ตั้งใจไปเสาะหาตัวยาถึงทะเลแดนใต้เพื่อคุณชายเฉียวหรือ”
เฉียวเจาหลุบตาลง “เพคะ ท่านปู่หลี่บอกข้าว่าเขากับอาจารย์เฉียวเป็นสหายรักกัน”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้” หยางไทเฮาหมุนเมล็ดเหอเถาในมือไปมาพลางครุ่นคิดเงียบๆ
องค์หญิงเจินเจินไม่ปริปากขอร้อง แต่มองหยางไทเฮาด้วยแววตาวาดหวัง
ลี่ผินข่มใจไม่อยู่ เปล่งเสียงเรียกขึ้น “ไทเฮาเพคะ…”
หยางไทเฮาขึงตาใส่ลี่ผินก่อนจะมองไปทางเฉียวเจาด้วยสายตาอ่อนโยนสุดจะเปรียบ “คุณหนูหลีซานมีเมตตาจิตเฉกผู้เป็นแพทย์ ใบหน้าขององค์หญิงเก้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
นี่หมายความว่ายอมให้เฉียวเจาไปเสาะหาตัวยาที่ทะเลแดนใต้แล้ว
เฉียวเจาลอบขบขัน
เมื่อครู่นางเอ่ยว่าท่านปู่หลี่เคยชี้แนะสั่งสอนนาง ไทเฮายังทำท่าไม่เชื่อคำพูดนาง ตอนนี้กลับบอกว่านางมีเมตตาจิตเฉกผู้เป็นแพทย์ พวกเชื้อพระวงศ์เปลี่ยนสีหน้าได้ว่องไวอย่างหาผู้ใดเทียบเทียมได้จริงๆ หากสลับเป็นเด็กสาวทั่วไปได้ยินว่าต้องดั้นด้นทางไกลนับพันลี้ไปเสาะหาตัวยาถึงทะเลแดนใต้ คงจะแตกตื่นทำอะไรไม่ถูกแต่แรกแล้ว
ดีที่การเดินทางลงใต้เป็นแผนการในใจนางมาโดยตลอด
เฉียวเจากำมือที่สอดอยู่ในแขนเสื้อหลวมกว้างเบาๆ สะกดความตื่นเต้นนั้นไว้
รอมานานปานนี้ก็เพื่อหาเหตุผลไปทางทิศใต้ได้อย่างเปิดเผย บัดนี้โอกาสมาถึงแล้วในที่สุด
“คุณหนูหลีซานวางใจได้ ข้าจะส่งคนคุ้มครองเจ้าเป็นอย่างดี”
เฉียวเจาเริ่มพะวักพะวน “ไทเฮาทรงส่งคนตามไปคุ้มครอง หม่อมฉันย่อมไปที่ทะเลแดนใต้โดยไร้ความกังวล ทว่าครอบครัวของหม่อมฉัน…”
เมื่อนึกถึงบิดามารดาและญาติพี่น้องในสกุลหลี เฉียวเจารู้สึกผิดอยู่บ้าง นางนึกภาพเหอซื่อน้ำตาเป็นเผาเต่าได้แล้ว
บางทีหากท่านแม่มีทารกน้อยๆ อยู่ในท้องอาจจะดีขึ้น?
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวสมองของเฉียวเจา นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าทำได้
พักนี้ดูเหมือนท่านพ่อจะนอนค้างในเรือนใหญ่ตลอด อืม…ปัจจัยรอบข้างยังเอื้ออำนวยเสียจริงๆ