บทที่ 349
เฉียวเจาตกลงปลงใจว่ารอกลับถึงเรือนจะต้มยาที่ส่งผลดีต่อการตั้งครรภ์สักชามให้เหอซื่อดื่ม
“คุณหนูหลีซานวางใจได้ ข้าจะปลอบขวัญครอบครัวของเจ้าให้ดีๆ ข้าเชื่อว่าพวกเขาสามารถอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวที่มีความสามารถอย่างเจ้าได้ จะต้องเป็นคนที่มีความคิดกว้างขวางและซื่อสัตย์กตัญญูเป็นแน่”
หญิงสาวลอบถอนใจเบาๆ แม้ว่าใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม หากครอบครัวของข้าไม่เห็นด้วย ก็กลายเป็นคนมีความคิดไม่กว้างขวางและไม่ซื่อสัตย์กตัญญูสินะ
“สามารถช่วยเหลือองค์หญิงได้ เป็นเกียรติของหม่อมฉันเพคะ”
หยางไทเฮามองเฉียวเจาอย่างพินิจ เห็นสีหน้าท่าทางของนางไม่คล้ายแสร้งทำ จึงยิ้มอย่างพอใจ “เป็นเด็กดีจริงๆ”
เวลานี้เองมีนางกำนัลขานบอก “ไทเฮา หยางซื่อจื่อขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ในตำหนักฉือหนิงแห่งนี้ เอ่ยถึงหยางซื่อจื่อจะหมายถึงคนผู้เดียวก็คือหยางโฮ่วเฉิง ซื่อจื่อของจวนหลิวซิ่งโหว
จวนหลิวซิ่งโหวเป็นสกุลเดิมของหยางไทเฮา และนางชมชอบหยางโฮ่วเฉิงผู้เป็นหลานชายผู้นี้อย่างมาก
“เจ้าวานรจอมซนผู้นี้มาได้อย่างไร” หยางไทเฮาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสนิทสนมเต็มเปี่ยม “เรียกตัวหยางซื่อจื่อเข้ามา”
สิ้นเสียงหยางไทเฮาไม่ทันไร องค์หญิงเจินเจินกล่าวขึ้นทันควัน “เสด็จย่า หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
นางไม่อยากเจอหน้าใครในสารรูปตอนนี้ทั้งสิ้น
“ไปเถอะ” หยางไทเฮาพูดพลางมองไปทางเฉียวเจา
นางย่อกายคารวะ “ไทเฮา หม่อมฉันออกมานานมากแล้วขอทูลลาก่อนเพคะ จะได้นำเรื่องเดินทางลงใต้ไปบอกกล่าวคนในครอบครัวด้วย”
ไทเฮาพยักหน้าอย่างพอใจ “ตกลง ไหลสี่ ส่งคุณหนูหลีซานออกจากวังแทนข้าด้วย”
แม่เด็กน้อยผู้นี้นับว่ามีไหวพริบดี รู้จักพูดคุยกับคนในครอบครัวให้เข้าใจก่อนนางออกพระเสาวนีย์ เมื่อถึงตอนชาวสกุลหลีได้รับพระเสาวนีย์ก็จะไม่แสดงท่าทีอะไรที่ชวนให้ระคายใจ หาไม่แล้วแพร่ออกไปยังจะหาว่าราชสำนักทำเกินไป
“คุณหนูหลีซาน เชิญเถอะ” ไหลสี่เดินมาตรงหน้านางทำท่าผายมือ
เฉียวเจาจับสังเกตได้อย่างเฉียบไวว่าไหลสี่กงกงผู้นี้มีท่าทีเป็นมิตรกว่าตอนพานางเข้าวังเป็นอันมาก
“รบกวนกงกงด้วยเจ้าค่ะ” ท่าทีของเฉียวเจาไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ นางก้าวเท้าตามหลังไหลสี่ออกไป ได้พบกับหยางโฮ่วเฉิงที่เดินเข้ามา
“หยางซื่อจื่อ” ไหลสี่เห็นหยางโฮ่วเฉิงก็ค้อมกายทักทายด้วยกิริยานอบน้อมมาก
“เป็นไหลสี่กงกงนี่เอง ไม่ได้พบกันนานพักหนึ่ง สีหน้าท่านยังสดใสยิ่งนัก” หยางโฮ่วเฉิงกล่าวยิ้มๆ
“เพราะได้อาศัยใบบุญของท่านขอรับ”
หยางโฮ่วเฉิงทอดสายตาข้ามไปด้านหลัง เห็นว่าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าของเฉียวเจาไม่มีส่วนใดบุบสลายก็ลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง เขาเอ่ยถามขึ้น “ไทเฮาเรียกตัวคนเข้าวังหรือนี่ ข้ามาผิดจังหวะใช่หรือไม่”
“ไม่เลยๆ คุณหนูท่านนี้กำลังจะออกจากวังแล้วขอรับ”
“อ้อ เช่นนั้นไหลสี่กงกงไปทำหน้าที่ของท่านเถอะ” หยางโฮ่วเฉิงเดินผ่านขันทีไปถึงข้างๆ เฉียวเจา เขาอาศัยจังหวะสวนไหล่กันใช้ตัวบังทำมือชี้ไปทางข้างนอก พร้อมกับขยับปากพูดแบบไม่มีเสียงคำหนึ่งว่า ‘รอข้า’
แม้นเฉียวเจาไม่รู้ว่าหยางโฮ่วเฉิงมีเรื่องอะไรกันแน่ถึงให้นางรอเขา แต่ในเวลาอย่างนี้นางได้แต่พยักหน้าบอกว่าเข้าใจแล้ว
เมื่อเดินไปถึงนอกประตูวัง เฉียวเจาย่อกายคำนับ “ขอบคุณกงกงที่ออกมาส่ง ถึงตรงนี้ก็พอเจ้าค่ะ”
“รถม้าของจวนท่านมาถึงแล้วใช่หรือไม่” ไหลสี่ชะเง้อมองคราหนึ่ง
เฉียวเจาชี้นิ้วไปทางใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก “อยู่ทางนั้นแล้วเจ้าค่ะ”
วังหลวงเรียกคนเข้าวังจะใช้เกี้ยวราชสำนัก แต่ตอนออกจากวังไม่มีให้แล้ว พูดกันตรงๆ ก็คือไปรับแต่ไม่ไปส่ง นี่เป็นธรรมเนียมซึ่งรู้กันเอง
“คุณหนูหลีซานไปดีมาดีนะ” ไหลสี่เห็นรถม้าของจวนสกุลหลีมาถึง เขาจึงพยักหน้าให้แล้วแยกไป
เฉียวเจาเดินไปที่ข้างรถม้า สั่งกำชับสารถีสองสามคำก่อนก้าวขึ้นไป
สารถีขับรถม้าไปจอดตรงหัวมุมกำแพงวัง ถึงตรงนี้จะไม่ลับตาคน แต่ดีกว่าที่ก่อนหน้านี้เป็นอันมาก
เฉียวเจานั่งรออยู่บนรถม้าไม่นานนักก็ได้ยินเสียงของหยางโฮ่วเฉิง “คุณหนูหลี”
นางยื่นมือเลิกม่านประตูขึ้น ชะโงกศีรษะออกไป “พี่หยาง”
หยางโฮ่วเฉิงเผยรอยยิ้มแจ่มใส “ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
เฉียวเจานิ่งงันไปเล็กน้อย จากนั้นคลี่ยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นก็ดี”
“พี่หยางรู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าวังมาเจ้าคะ”
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย “วันนี้ข้าเข้าเวรน่ะสิ เลยเห็นโดยบังเอิญ”