ว่ากันว่ากระต่ายตัวผู้ตะกุยขาหน้า กระต่ายตัวเมียทำตาพริ้ม* อยากแยกแยะตัวผู้ตัวเมียก็ไม่ใช่เรื่องยากนี่นา
เซ่าหมิงยวนหัวเราะขลุกขลักพลางชี้กระต่ายตัวเมีย “หน้าตาของกระต่ายตัวนี้ทำเลียนแบบเจ้านะ”
เฉียวเจาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “หึๆ”
เอาอย่างไรดี อยากตีบุรุษผู้นี้ให้ตายนัก?
ก็ได้ ข้าไม่ถือสาหาความกับพวกตัวโตหัวทื่อก็ได้!
เฉียวเจาหลับตาลงข่มใจไว้แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความเยือกเย็นดุจเก่า
“เจาเจา โคมกระต่ายน่ารักมากใช่หรือไม่ ข้ามองจนทั่วแล้ว โคมไฟใหญ่ที่สุดบนถนนสายนี้ต้องยกให้โคมกระต่ายหยกสองดวงนี้แล้ว”
เฉียวเจากุมขมับ ถึงได้มีคำโบราณกล่าวไว้ว่าบุรุษหัวทื่อตัวโตใหญ่สินะ?
“ก็น่ารักมากอยู่” นางมองดูกระต่ายหยกสองตัวที่สมจริงดุจมีชีวิต ถึงแม้จะขบขันแกมอ่อนใจ แต่ในใจลึกๆ ก็รู้สึกประทับใจอยู่ดี
เซ่าหมิงยวนยกมือยีผมนางแผ่วเบา “เจ้าชอบก็ดี”
บุรุษร่างสูงใหญ่พลันโน้มตัวยื่นหน้ามาพูดที่ข้างหูเด็กสาว “อีกอย่างหนึ่งขอบคุณที่เจ้าเย็บเสื้อตัวในให้ข้า ข้าสวมแล้วสบายตัวอย่างมาก”
เพียงน่าเสียดายว่ามีเพียงตัวเดียว ไม่มีให้เปลี่ยนสลับใส่ได้…
ชายหนุ่มลอบถอนใจด้วยความเสียดาย แต่หักใจเอ่ยปากขอให้นางเย็บเพิ่มให้ตนอีกหลายๆ ตัวไม่ได้
อื้อ ตอนนี้ข้ามั่นใจได้แล้วว่าเจาเจาคงจะไม่ถนัดงานเย็บปักถักร้อยจริงๆ เสื้อตัวในที่เหลือเย็บเสร็จได้ก่อนแต่งงาน ข้าก็พึงพอใจแล้ว
“โอ้โห…มีโคมกระต่ายหยกใหญ่มากอยู่ตรงนี้สองดวง!” เสียงอุทานด้วยความตื่นเต้นดังลอยมา ไม่นานนักก็มีคนยืนออกันอยู่หน้าโคมกระต่ายหยกเต็มไปหมดจนเบียดพวกเฉียวเจาออกไปด้านข้าง
เด็กน้อยผมจุกผู้หนึ่งพยายามกระโดดเอื้อมมือขึ้นไปจับหูกระต่าย แต่เด็กสาวด้านข้างพูดดุเขา “น้องเล็ก ระวังหกล้ม!”
เซ่าหมิงยวนดึงสายตากลับมา เขาถามเฉียวเจาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “จะเอาไปด้วยหรือไม่”
นางส่ายหน้า “ไม่ต้อง สิ่งของสวยงามได้ชมดูแล้วก็พอ วางทิ้งไว้ให้ผู้อื่นได้ชื่นชมบ้างเถอะ”
นางยกมือลูบปิ่นหยกขาวที่ปักเอียงๆ อยู่บนเรือนผมแล้วเม้มปากยิ้ม
เซ่าหมิงยวนมองแวบเดียวก็เห็นว่าบนผมของเฉียวเจาปักปิ่นหยกที่เขาแกะสลักเองกับมือ ในใจพลันปลาบปลื้มยินดีอย่างเต็มเปี่ยม “เจาเจา ข้าเห็นสตรีมากมายปักปิ่นบนศีรษะกันหลายๆ อันเลย”
ยังมีปิ่นหยกเขียวที่เป็นลายหมูน้อยอีกอันหนึ่งมิใช่หรือ ถ้าเจาเจาปักไว้ด้วยกันก็ต้องงามมากขึ้นอีก
เฉียวเจาชายตามองคนบางคนก่อนกล่าวเสียงเย็นๆ ว่า “ข้าไม่ชอบติดเครื่องประดับศีรษะรุ่มร่ามเกินไป”
อย่าได้พูดถึงปิ่นหัวหมูอันนั้นเชียวนะ ถ้าเขายังอยากเดินเที่ยวกับข้าตามประสาคู่รักอย่างสนุกสนาน!
ทั้งคู่จูงมือกันเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ พลันนั้นเองด้านหน้าเกิดความโกลาหลขึ้น มีคนตะโกนพูดเสียงรัวเร็ว “แย่แล้วๆ มีคนตกน้ำ!”
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสบตากัน
“พวกเราไปดูกันเถอะ” นางผลักเขาเบาๆ
เซ่าหมิงยวนผิวปากด้วยสองนิ้วเป็นเสียงแหลมสูงดังกังวาน
เฉินกวงปรากฏกายตรงหน้าทั้งสองคนทันที “ท่านแม่ทัพมีอะไรจะสั่งกำชับขอรับ”
“ไปดูสิว่าข้างหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ถ้ามีคนตกน้ำแล้วไม่มีใครช่วย เจ้าก็ช่วยคนขึ้นมา”
“น้อมรับคำสั่ง” เฉินกวงเหลือบมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนจะหายลับเข้าไปในฝูงชนอย่างว่องไว
เซ่าหมิงยวนกล่าวอธิบายกับนาง “ด้านหน้าพลุกพล่านวุ่นวายเกินไป ให้เฉินกวงไปก็พอแล้ว”
เทศกาลหยวนเซียวเป็นหนึ่งในหลายๆ เทศกาลที่ครึกครื้นมากที่สุดของปี แต่ในวันเทศกาลอย่างนี้มักมีบางครอบครัวต้องพบกับเรื่องเศร้าเสียใจ
บ้างบุตรหลานโดนล่อลวงไปขาย บ้างเป็นเด็กสาวถูกลวนลาม บ้างคนในครอบครัวได้รับบาดเจ็บอย่างไม่คาดคิด
เบื้องหน้าไม่ไกลนักก็คือทะเลสาบปี้ปอ ในวันนี้จะมีโคมดอกบัวลอยอยู่เหนือผิวน้ำมากมายแลดูงดงามลานตา ทว่ามันเป็นที่เที่ยวชมสำหรับเชื้อพระวงศ์และขุนนางผู้สูงศักดิ์เท่านั้น ถึงแม้ผู้มาชมโคมไฟล้วนระมัดระวังมากกว่าปกติ แต่ไม่ว่าปีใดๆ ล้วนมีข่าวคนเบียดเสียดกันจนพลัดตกน้ำแพร่ออกมาเสมอ
ไม่นานนักเฉินกวงก็แหวกฝ่าฝูงชนย้อนกลับมาด้วยสีหน้าชอบกล “ท่านแม่ทัพ คุณหนูสาม พวกคุณชายฉือกับซื่อจื่อสกุลจูอยู่บนหอศาลาริมทะเลสาบทางโน้น ฝากเชิญท่านกับคุณหนูสามไปที่นั่นขอรับ”
“คนที่ตกน้ำถูกช่วยขึ้นมาหรือยัง”
“มีคนดึงขึ้นมาแล้วขอรับ” เฉินกวงพูดถึงตรงนี้แล้วชะงักไปเล็กน้อย เขามองไปทางเฉียวเจา “คนที่ตกน้ำคือคุณหนูใหญ่สกุลหลี ตอนนี้กำลังร้องไห้อยู่บนหอศาลาริมทะเลสาบขอรับ”
เฉียวเจากำมือที่อยู่ข้างลำตัว เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ “พาข้าไปดูซิ”