ในเมื่อเป็นจูเหยียนกับตู้เฟยเสวี่ยดึงหลีเจี่ยวขึ้นจากน้ำ หลังกลับจวนแล้วก็ไม่มีปัญหายุ่งยากอะไรนอกจากทำให้พวกท่านย่าหวาดผวาตกใจกันบ้าง
แต่ครั้นสายตามองเห็นจูเยี่ยนทำท่าขมวดคิ้วน้อยๆ เฉียวเจาชักเอะใจจึงเอ่ยถามขึ้น “พี่จู ยังมีเรื่องอะไรอีกใช่หรือไม่”
จูเยี่ยนยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “มีเหตุการณ์เล็กๆ เกิดขึ้นระหว่างนั้นจริงๆ แม้ว่ามิใช่เรื่องใหญ่ แต่ศักดิ์ฐานะของฝ่ายนั้นไม่สามัญ…”
“จื่อเจ๋อ เจ้าพูดมาตรงๆ เถอะ” เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จูเยี่ยนมองไปทางเขาแล้วหัวคิ้วที่มุ่นเข้าหากันก็คลายออก ถึงแม้คนผู้นั้นมีศักดิ์ฐานะไม่สามัญ แต่ดูทีว่ายังต้องเห็นแก่หน้าถิงเฉวียนอยู่ดี “ตอนนั้นรุ่ยอ๋องอยู่ที่นั่นด้วย”
รุ่ยอ๋อง?
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสบตากันด้วยความตกใจอยู่บ้าง
ฉือชั่นหย่อนกายลงบนเก้าอี้ตามเดิม เขานั่งไขว่ห้างตามสบายพลางบอกเล่าด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า “ข้ากับรุ่ยอ๋องเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบปี้ปอแล้วพบกับกลุ่มของจื่อเจ๋อโดยบังเอิญ”
“ในเมื่อเป็นพวกคุณหนูจูดึงคุณหนูใหญ่ขึ้นจากน้ำ รุ่ยอ๋องอยู่ด้วยก็ไม่เป็นไรกระมัง” เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างฉงนใจ
ชาวเมืองหลวงเคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมประเพณีถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เขาเคยได้ยินแต่ว่าบุรุษช่วยสตรีที่จมน้ำขึ้นมาแล้วฝ่ายหญิงจะขอให้ฝ่ายชายรับผิดชอบ แต่ไม่เคยได้ยินว่าคนที่มุงดูอยู่ยังต้องรับผิดชอบด้วย
จูเยี่ยนนวดๆ หว่างคิ้วแล้วชายหางตามองฉือชั่นพลางกล่าว “ทีแรกไม่เกี่ยวข้องกับรุ่ยอ๋อง แต่พอสือซีถีบคุณหนูใหญ่ทีหนึ่ง นางอารามแตกตื่นตกใจก็ยกมือคว้าสะเปะสะปะ แล้วประจวบเหมาะไปคว้าเอาสายรัดเอวของรุ่ยอ๋องตอนตกน้ำน่ะสิ”
เฉียวเจาอึ้งงัน “…”
เซ่าหมิงยวนพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ “…”
“กางเกงของรุ่ยอ๋องหลุดลงมาหรือ”
เสียงไอของจูเยี่ยนดังขึ้น เขาตวัดสายตามองเฉียวเจาแวบหนึ่งแล้วหน้าแดงระเรื่อ “ไม่หลุด รุ่ยอ๋องจับกางเกงไว้ได้ทัน”
มาตรว่าพวกเขารู้จักมักคุ้นกับคุณหนูหลีแล้ว แต่พูดเรื่องท่านอ๋องกางเกงหลุดต่อหน้าสตรีจะเหมาะสมหรือ
เซ่าหมิงยวนมุ่นคิ้ว “ตกลงว่ามีปัญหาอะไรกันแน่”
ต่อให้รุ่ยอ๋องจะกางเกงหลุดจริงๆ ถึงอย่างไรคงไม่กลายเป็นฝ่ายเรียกร้องให้ฝ่ายหญิงรับผิดชอบกระมัง
จูเยี่ยนมองเซ่าหมิงยวนอย่างจนใจ “ถิงเฉวียน คุณหนูใหญ่เป็นต้นเหตุให้รุ่ยอ๋องต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล ถึงไม่รู้ว่ารุ่ยอ๋องจะเอาเรื่องกับสกุลหลีเพราะเหตุนี้หรือไม่ เอาเป็นว่าเจ้ารู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ไว้ก็แล้วกัน”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะเบาๆ แล้วหันไปมองเฉียวเจา “เจาเจา เจ้าต้องการให้ข้าออกหน้าสะสางเรื่องนี้หรือไม่”
ช่วยแก้ปัญหาให้เจาเจาได้ เขาย่อมไม่ปฏิเสธเป็นแน่ แต่ก่อนอื่นเขาต้องยืนยันว่าเจาเจาต้องการหรือไม่
นางตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่จำเป็น บิดาข้าเป็นเพียงอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตผู้หนึ่ง จะมีปัญหายุ่งยากเพียงใดได้เล่า”
รุ่ยอ๋องคงไม่บีบให้ท่านพ่อลาออกจากตำแหน่งเพราะเรื่องเท่านี้กระมัง
ที่สำคัญคือบิดาของนางไม่กลัวการลาออกจากตำแหน่ง หมู่นี้ได้ยินท่านพ่อที่เคารพพูดติติงเรื่องเบี้ยหวัดเดือนละแปดตั้นตั้งกี่ครั้งกี่หนก็สุดรู้
อีกทั้งคงไม่ถึงกับมีอะไรรุนแรงไปกว่านี้ จะอย่างไรนางหมั้นหมายกับกวนจวินโหวแล้ว ถึงรุ่ยอ๋องไม่เห็นแก่หน้าภิกษุก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธองค์* ไม่มีทางทำเกินกว่าเหตุ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ถิงเฉวียนเป็นฝ่ายไปเจรจาพาทีกับรุ่ยอ๋องแต่อย่างใด เพราะศักดิ์ฐานะของทั้งคู่ล้วนสร้างแรงกระเพื่อมไหวได้ง่ายมาก
เฉียวเจาใคร่ครวญทั้งหมดนี้อยู่ในหัวแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ข้าจะพาพี่เจี่ยวกลับจวนก่อน หลังจากบอกกล่าวให้ผู้อาวุโสรับทราบ พวกท่านน่าจะตัดสินใจได้”
ฉลาดมิได้แสดงถึงประสบการณ์ เฉียวเจาเชื่อว่าในหลายๆ เรื่องท่านย่าต้องจัดการได้ดีกว่าตน
“พี่ฉือ ข้าขอขมาท่านแทนพี่เจี่ยวด้วย”
ฉือชั่นเหลือบมองนางอย่างเฉยเมย “นางคือนาง เจ้าคือเจ้า อีกอย่างข้าไม่ต้องการให้นางขอขมา ให้นางอยู่ห่างจากข้ายิ่งไกลเท่าไรได้ก็ยิ่งดีเท่านั้นเป็นพอ”
เฉียวเจาคลายยิ้มแล้วเข้าไปในห้องด้านข้าง
เสียงฝีเท้าดังขึ้น เสียงสะอื้นร่ำไห้ของหลีเจี่ยวก็หยุดลง
จูเหยียนกับตู้เฟยเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน
“พี่เจี่ยว พวกเรากลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะ”
ตู้เฟยเสวี่ยกางแขนขวางหน้าหลีเจี่ยวไว้
“นี่คุณหนูตู้หมายความว่าอะไร”
ตู้เฟยเสวี่ยแค่นเสียงเยาะ “หลีซาน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ประสงค์ดีหรอก จะพาญาติผู้พี่ของข้ากลับไปตอนนี้ก็เพื่อให้ผู้อาวุโสที่ชอบลำเอียงพวกนั้นอบรมสั่งสอนนางกระมัง”
เฉียวเจาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน สตรีผู้นี้รู้จักพูดจาให้เข้าหูคนได้หรือไม่กันแน่
* ‘กระต่ายตัวผู้ตะกุยขาหน้า กระต่ายตัวเมียทำตาพริ้ม’ เป็นสำนวนของชาวจีนเวลาพูดถึงการแยกกระต่ายตัวผู้ตัวเมีย ปกติเวลากระต่ายวิ่งไปวิ่งมาจะแยกตัวผู้ตัวเมียไม่ออก จึงให้จับหูแล้วยกตัวมันขึ้น ตัวที่ตะกุยขาหน้าคือตัวผู้ ส่วนตัวที่อยู่นิ่งๆ หรี่ตาคือตัวเมีย ยังเป็นการเปรียบเทียบถึงผู้ชายผู้หญิงว่าในชีวิตประจำวันปกติผู้ชายผู้หญิงต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่พอเข้าสู่สนามรบสวมชุดเกราะแล้วยากจะแยกออกได้ มีความนัยในเชิงสรรเสริญผู้หญิง อย่างเช่น ฮวามู่หลัน
* ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธองค์ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงเห็นแก่หน้าบุคคลที่สาม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.