บทที่ 597
ในเดือนหนึ่งของรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบหกเดิมทียังหลงเหลือควันหลงจากงานเฉลิมฉลองวันตรุษอยู่ แต่กลับเป็นเพราะบุตรสาวโทนของเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินจบชีวิตอย่างอเนจอนาถ เป็นเหตุให้บรรยากาศถูกปกคลุมด้วยความอึมครึมตึงเครียด
ตลอดหลายวันนั้นบนถนนแทบไร้วี่แววผู้คน แต่มองเห็นเงาร่างขององครักษ์จินหลินผ่านไปผ่านมาอย่างเร่งรีบได้ทั่วทุกหนแห่ง
เรื่องที่เจียงถังบีบคอหมอหลวงตายไปคนหนึ่งถูกฮ่องเต้หมิงคังยับยั้งเอาไว้ แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ไล่เลียงเอาความกับบุตรชายของพระนมซึ่งพระองค์นับถือเสมือนพี่ชาย
ท่าทีของเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ทำให้คนมากมายจับตาดูความเคลื่อนไหวของจวนสกุลเจียงมากขึ้น
ด้านเจียงถังสงบจิตใจลงได้แล้ว
หรือกล่าวได้ว่าถึงที่สุดแล้วขุนนางใหญ่ที่ก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้นี้มีจิตใจที่ทรหดอดทนอย่างที่คนทั่วไปเทียบเคียงมิได้
ขณะมองดูบุตรชายบุญธรรมที่อยู่ข้างกายทั้งสามคนคือเจียงหย่วนเฉา เจียงอู่ และเจียงสืออี ใบหน้าของเจียงถังปราศจากรอยยิ้ม เขาเอ่ยถามเสียงเย็นชา “สือซาน ตอนที่เจ้ากับหร่านรานแยกกันเป็นเวลายามใดกันแน่”
“น่าจะเป็นต้นยามอู่*ขอรับ ข้าเดินชมร้านค้าเป็นเพื่อนหร่านรานไปได้หลายร้าน นางก็บอกว่าอยากกินเนื้อแพะตุ๋น พวกข้าก็เลยไปที่ร้านไป่เว่ย”
“ต้นยามอู่? พวกเจ้าใช้เวลากินอาหารในร้านไป่เว่ยนานเท่าไร” เจียงถังรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง
กินอาหารข้างนอกไม่สะดวกดังเช่นอยู่ในเรือน คงเป็นไปไม่ได้ที่นั่งลงเพียงสองเค่อก็ออกจากร้านแล้ว
เจียงหย่วนเฉาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วกล่าวตามสัตย์จริง “หร่านรานกับข้าขัดใจกัน สุดท้ายเลยไม่ได้กินอาหารขอรับ”
งานขององครักษ์จินหลินคือการสืบสวนสอบสวน ถึงเขาไม่พูดท่านพ่อบุญธรรมก็ต้องรู้วันยังค่ำ แทนที่จะถามได้ความจากปากคนอื่น มิสู้เขาบอกอย่างชัดเจนเองจะดีกว่า
“ขัดใจกัน?” เจียงถังจ้องมองเจียงหย่วนเฉาด้วยสายตาที่แทบลุกเป็นไฟ “เหตุใดถึงขัดใจกัน”
เขารู้ใจบุตรสาวของตนเป็นอย่างดีว่ารักมั่นปักใจต่อสือซาน ถึงนางจะเจ้าอารมณ์ไปบ้าง แต่ตามหลักแล้วทั้งคู่ไปเดินเที่ยวกินอาหารกันก็ไม่น่าจะขัดใจกันได้
เจียงหย่วนเฉาหลุบตาลง “พวกข้าพบกับกวนจวินโหวและคู่หมั้นของเขาที่ร้านไป่เว่ยขอรับ”
“คู่หมั้น?” เจียงถังหลับตาลงแล้วกระจ่างแจ้งในบัดดล
คู่หมั้นของกวนจวินโหวคือคุณหนูหลีมิใช่หรือ หร่านรานไม่ถูกชะตากับนางมากที่สุด
“หลังพบกับกวนจวินโหวและคุณหนูหลีแล้วพวกเจ้าพูดอะไรกันบ้าง เล่ามาให้ข้าฟังทั้งหมด!”
เจียงหย่วนเฉาเตรียมตัวเตรียมใจมาแต่แรก เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นตามความเป็นจริง
เจียงถังฟังจนจบแล้วเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน เขาทุบโต๊ะเต็มแรง “เป็นความผิดของข้า เป็นความผิดของข้าคนเดียว!”
หากวันนั้นเขาไม่ออกความคิดให้หร่านรานไปอวยพรวันเกิดให้คุณหนูหลี นางคงไม่โกรธเคืองจนไปที่วังหลวง เมื่อเป็นเช่นนั้นนางก็จะอยู่กับเรือนแต่โดยดี ไม่ใช่ออกจากวังแล้วไปชวนสือซานเดินเที่ยวจนได้พบกับคุณหนูหลีที่ร้านไป่เว่ย จากนั้นก็หนีไปอย่างแง่งอนน้อยใจ
“เหตุใดเจ้าไม่รั้งนางไว้” เจียงถังเอ่ยถามเจียงหย่วนเฉาอย่างปึ่งชา
“ข้าคิดว่ามีองครักษ์จินหลินคอยอารักขาหร่านรานในที่ลับอยู่แล้ว นางกำลังโมโหโทโสอยู่ แทนที่จะไล่ตามไปจนทะเลาะกันอีก มิสู้รอนางหายโกรธแล้วค่อยว่ากันอีกทีขอรับ”
“หายโกรธ?” สีหน้าของเจียงถังบูดบึ้งยิ่งขึ้น “สือซาน หรือเจ้าไม่แจ่มแจ้งว่าตอนหร่านรานโมโห มีแต่เจ้าที่ปลอบนางให้อารมณ์ดีได้ เพียงน่าเสียดายที่เจ้าคร้านจะไปปลอบนาง”
ดูทีว่าตราบจนวาระสุดท้าย หร่านรานของเขายังรอคอยเจ้าคนบัดซบผู้นี้ตามมาง้องอน!
เขาพลาดไปแล้ว บุรุษผู้หนึ่งชอบพอสตรีผู้หนึ่งฉันน้องสาว หากเทียบกับสตรีในดวงใจแล้วย่อมเอาใจใส่ไม่เท่ากันอย่างเด็ดขาด
หากสือซานมีความรักต่อหร่านราน ไหนเลยจะหักใจให้นางโกรธงอนอยู่ตามลำพังได้เล่า
เจียงถังอดนึกไปถึงตอนภรรยายังมีชีวิตอยู่ไม่ได้
ยามนั้นเขายังหนุ่มแน่นมุทะลุ ทั้งคู่จึงมักมีปากเสียงกันบ่อยๆ แต่ทุกคราที่ทะเลาะกันแล้วนางโกรธเคืองไม่สนใจเขา ต่อให้ยังมีน้ำโหอยู่ เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ตนกับภรรยาหมางเมินเย็นชาต่อกันนานเกินกว่าหนึ่งเค่อ
ถึงต้องกอดนางไว้พร้อมกับโต้เถียงกัน เขาก็หักใจปล่อยให้นางหลั่งน้ำตาอยู่คนเดียวไม่ได้
“กวนจวินโหวพูดเตือนหร่านรานไม่ให้ตอแยคุณหนูหลีอีกหรือ” เจียงถังพลันไต่ถามขึ้น