บทที่ 599
เจียงถังเริ่มอ้วนท้วนขึ้นตอนเข้าวัยกลางคน ปกติพบเจอใครจะมีสีหน้ายิ้มแย้มเสมอ หากเดินอยู่บนถนนไม่ว่าผู้ใดก็มองไม่ออกว่าเป็นผู้บัญชาการของกองครักษ์จินหลิน แต่เสี้ยวขณะนี้เขากลับเพ่งมองบุตรชายบุญธรรมด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมนั้นราวกับอสรพิษ
เจียงหย่วนเฉาไม่เอ่ยตอบแต่ย้อนถามกลับ “ท่านพ่อบุญธรรม ท่านสงสัยข้าอยู่หรือขอรับ”
เจียงถังแค่นหัวร่อ “สงสัยหรือไม่ นี่หาใช่เรื่องที่เจ้าสมควรถามไม่ ข้าเพียงต้องการให้เจ้าตอบข้าว่าครึ่งชั่วยามนั้นเจ้าไปที่ใดมาและทำอะไรบ้าง”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไป
“เจ้าอยู่กับหร่านรานใช่หรือไม่” เจียงถังถามเสียงกร้าว
“ท่านพ่อบุญธรรม…”
“เจียงสือซาน หากเจ้ายังเห็นข้าเป็นบิดาบุญธรรม ยังจำได้ว่าตนเองเป็นเด็กที่ข้าพากลับมาจากข้างถนนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วผู้นั้น จงตอบข้ามาตามสัตย์จริง ตอนนั้นเจ้าอยู่กับหร่านรานหรือไม่”
“เปล่าขอรับ ท่านพ่อบุญธรรม ข้าเปล่า”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกข้ามาว่าครึ่งชั่วยามนั่นเจ้าเสียเวลาไปกับเรื่องใดจึงได้กลับถึงที่ว่าการชักช้าปานนั้น”
เจียงหย่วนเฉานิ่งเงียบไป
“พูดสิ” เมื่ออยู่กับบุตรชายบุญธรรม เจียงถังไม่ปกปิดอารมณ์ที่เจียนควบคุมไว้ไม่อยู่รอมร่ออีกต่อไป เขาถีบเก้าอี้ใกล้ๆ ตัวสุดแรงจนล้มลง
พอเสียงโครมครามดังสนั่นขึ้นก็มีเสียงฝีเท้าลอยมาจากนอกห้อง
“ห้ามก็ใครเข้ามาทั้งสิ้น!” เจียงถังตวาดเสียงห้วนจัด
ด้านนอกประตูพลันเงียบกริบ
เจียงถังมองเจียงหย่วนเฉาอย่างปึ่งชา
เขาอ้าปากพูดในที่สุด “ตอนนั้นหร่านรานวิ่งหนีไปด้วยความโกรธเคือง ทีแรกข้าตั้งใจจะตรงกลับไปที่ที่ว่าการเลย แต่ตอนเดินผ่านร้านผ้าไหมที่นางเคยเข้าไปดูก่อนหน้านี้ นึกขึ้นได้ว่าตอนเดินเที่ยวกันนางยังไม่ได้ซื้อของสักชิ้น เลยกำชับให้เสี่ยวเอ้อร์ของร้านนั้นเอาผ้าสองสามชิ้นที่นางมองอย่างสนใจตอนนั้นมาห่อให้เรียบร้อยแล้วส่งไปที่จวนสกุลเจียงขอรับ”
พอได้ยินเขาเอ่ยถึงบุตรสาวเจียงถังเพียงรู้สึกเจ็บปวดตรงกลางอกอย่างหนักหน่วง เขาเม้มปากแล้วกล่าวขึ้น “ถึงอย่างนั้นก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม”
เจียงหย่วนเฉายิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “หลังจากซื้อผ้าไหมแล้ว ข้ายังไปตามร้านค้าที่หร่านรานเคยเข้าไปเดินดูจนครบทุกร้าน ซื้อของทุกชิ้นที่นางมองซ้ำๆ เอาไว้ทั้งหมด ข้าคิดว่าข้าพูดไม่เก่ง งอนง้อสตรีไม่เป็น บางทีหร่านรานเห็นของพวกนี้อาจจะไม่โกรธอีก…”
เจียงถังนิ่งเงียบไปเป็นนานก่อนเอ่ยถาม “แล้วของพวกนั้นเล่า”
“น่าจะส่งมาถึงจวนแล้ว ท่านถามผู้ดูแลจวนก็จะทราบเองขอรับ”
“ข้าถามแน่ เจ้าออกไปเถอะ”
“เช่นนั้นข้าขอตัวนะขอรับ ท่านพ่อบุญธรรม ท่านรักษาสุขภาพด้วย”
พอเห็นเจียงหย่วนเฉาเดินออกไป เจียงถังคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้ เขาตะโกนเรียก “ประเดี๋ยวก่อน!”
เจียงหย่วนเฉาหยุดฝีเท้า เอ่ยถามเสียงนุ่ม “ท่านพ่อบุญธรรมยังมีสิ่งใดสั่งกำชับขอรับ”
“เพราะอะไรถึงเปลี่ยนหยกพก ไม่ใช้ชิ้นที่เป็นลายปลาคู่ที่เจ้าเหน็บติดกายเป็นประจำแล้วหรือ”
เจียงหย่วนเฉาก้มหน้ามองหยกพกลายวิหคเหินที่ห้อยอยู่ตรงเอวแวบหนึ่ง เขาลังเลชั่วอึดใจก่อนเอ่ย “หยกชิ้นนั้นหายไปแล้วขอรับ”
“หายไป? หายไปเมื่อใด”
ชายหนุ่มเหลือบมองบิดาบุญธรรมที่ทำสีหน้าเคร่งขรึม พลางกล่าวตอบว่า “หล่นหายไปตอนวันเทศกาลหยวนเซียวขอรับ”
เจียงถังจ้องมองเขานิ่งๆ นานครู่ใหญ่เหมือนกำลังตัดสินว่าคำพูดของเขาเป็นจริงหรือเท็จ
เจียงหย่วนเฉาค้อมกายอย่างอ่อนน้อม ปล่อยให้เจียงถังพินิจพิจารณาตามสบาย
เขาเข้าใจจิตใจของบิดาบุญธรรมได้
บิดาบุญธรรมสูญเสียภรรยาไปตั้งแต่วัยหนุ่มแล้วมิได้แต่งงานใหม่ สำหรับท่านแล้วหร่านรานคือทุกสิ่งทุกอย่าง บัดนี้หร่านรานจากไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการทำร้ายหัวใจท่านให้แหลกสลาย
เขาไม่กล้านึกภาพเลยว่าท่านพ่อบุญธรรมที่ขาดหร่านรานไปจะกระทำเรื่องใดออกมาบ้าง
คนที่ใช้มือเดียวบีบคอหร่านรานหักและสังหารองครักษ์จินหลินที่อารักขานางได้โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น ทอดสายตามองไปทั่วเมืองหลวง ผู้มีฝีมือระดับนี้มีอยู่ไม่มากนัก
สำหรับฆาตกรนั้นเห็นทีว่าท่านพ่อบุญธรรมคงพอมีคำตอบอยู่ในใจบ้างแล้ว
เมื่อคิดคำนึงถึงตรงนี้เจียงหย่วนเฉายิ้มเยาะตนเอง
มิไยว่าท่านพ่อบุญธรรมจะคิดเช่นไร หลังจากนี้เขาไม่มีทางได้อยู่อย่างเป็นสุขแล้ว
“เจ้าออกไปเถอะ”
เจียงถังบอกให้เขาออกไปแล้วมีคำสั่งถ่ายทอดลงมาสองอย่างทันทีคือหนึ่งเอาตัวผู้ดูแลจวนสกุลเจียงมาถามความ สองไปขอคำยืนยันจากร้านค้าละแวกใกล้ๆ ร้านไป่เว่ยเหล่านั้น
เมื่อได้รู้จากผู้ดูแลว่ามีของสวยๆ งามๆ ที่เด็กสาวชมชอบส่งมาที่จวนตอนบ่ายวันนั้นไม่น้อยจริงๆ ในใจเจียงถังก็รู้สึกปวดร้าวอย่างบอกไม่ถูก
หากหร่านรานเห็นของขวัญพวกนั้นน่าจะดีใจสักปานใด แต่หร่านรานของเขาไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว
ผ่านไปไม่นานนักองครักษ์จินหลินซึ่งไปยืนยันกับร้านค้าก็กลับมารายงาน “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ท่านสิบสามไปที่ร้านค้าพวกนั้นจริงๆ เพราะว่าท่านสิบสามกับ…เอ่อ…คุณหนูใหญ่เคยเข้าไปเดินชมด้วยกันครั้งหนึ่ง ดังนั้นผู้ดูแลของร้านเหล่านั้นล้วนจดจำได้อย่างแม่นยำขอรับ”
เจียงถังพยักหน้าอย่างขอไปทีแล้วไม่ปริปากอีก