กระวานน้อยแรกรัก
ทดลองอ่าน กระวานน้อยแรกรัก บทที่ 15
บทที่ 15
หมิงถานรู้สึกว่าตนเองเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเหลือเกินราวกับนอนหลับไปนานแสนนาน เมื่อนางค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็เห็นเพียงนอกห้องที่มืดสนิท ภายในห้องเองก็เริ่มจุดโคมไฟแล้ว
เจียงซวี่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนตั่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบนเตียง เขาก็เงยหน้าขึ้นมา วางม้วนหนังสือในมือลง ก่อนลุกขึ้นเดินไปยังข้างเตียง
“ตื่นแล้วหรือ”
หมิงถานพยักหน้า อยากจะลุกขึ้นนั่ง
เจียงซวี่ช่วยประคองนาง ต่อมาก็จับหมอนตั้งขึ้นให้นางได้เอนพิง ส่วนตนเองก็สะบัดชายเสื้อออกแล้วถือโอกาสนั่งลงที่ขอบเตียงเช่นกัน
“รู้สึกเช่นไรบ้าง” เขาเอ่ยถามเสียงอบอุ่น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ สามีเล่า ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
“ข้าติ้งเป่ยอ๋องไม่เป็นไร เจ้าต่างหาก หลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ต้องเชิญท่านหมอมาดูอาการอีกรอบหรือไม่”
หมิงถานชะงักไปชั่วครู่ “หนึ่งวันหนึ่งคืน?”
นางคิดว่าหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วยามเสียอีก
เช่นนั้นเรื่องไฟไหม้เรือสำราญก็เกิดขึ้นเมื่อวานน่ะสิ
นางรีบเอ่ยถามเรื่องเมื่อคืนอีกสองสามประโยค เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนเจียงซวี่ยังต้องขึ้นไปช่วยนางบนเรืออีก นางก็ถามไถ่อย่างระมัดระวังว่า “จริงสิสามี เมื่อคืนข้าขึ้นไปบนเรือสำราญ คงมิได้สร้างปัญหาให้สามีกระมัง อีกอย่างเมื่อคืนข้ากับอวิ๋นอี่ช่วยแม่นางคนหนึ่งมาจากห้องเครื่องใต้ท้องเรือ นางถูกคนจับมัดเอาไว้ ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“ยังมีชีวิตอยู่ นางคือคนที่พวกข้ากำลังตามหาพอดี พระชายามิได้สร้างปัญหาแต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นช่วยพวกข้าไว้แทนเสียอีก”
หมิงถานประหลาดใจอยู่นิดๆ “สามีกำลังตามหาคน? จริงหรือ แล้วเหตุใดสามีต้องตามหานางด้วยเล่า”
อันที่จริงนางแค่เอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง พอถามจบก็รู้สึกว่าพลั้งปากพูดจาไม่เหมาะสมไป นางจึงละล่ำละลักเบี่ยงประเด็น อยากจะกลบเกลื่อนเรื่องนี้ให้ผ่านพ้นไป
แต่ไม่คาดคิดว่าเจียงซวี่กลับเป็นฝ่ายวกเข้าหัวข้อสนทนาเดิม เขาเล่าเรื่องราวทุกอย่าง รวมไปถึงเรื่องที่ว่าเขากับซูจิ่งหรานมาที่หลิงโจวเพื่อสะสางภารกิจอันใดกันแน่ให้นางฟังทั้งหมดรอบหนึ่งอย่างมีน้ำอดน้ำทน รายละเอียดยังครอบคลุมไปถึงเรื่องต่างๆ มากมายในราชสำนักอีกด้วย
เรื่องราวของข่าวสารในถ้อยคำเหล่านี้มีมากเกินไป หมิงถานอึ้งงันไปครู่ใหญ่ๆ มิอาจทำความเข้าใจได้ในทันทีทันใด
กระทั่งนางข่มกลั้นความแตกตื่นในใจลงแล้วค่อยๆ ซึมซับทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างช้าๆ เสร็จแล้วนางก็จิกมุมผ้าห่มแน่น อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นเสียงแผ่วเบาด้วยความลังเลใจว่า “สามี สตรีในแคว้นเรามิอาจก้าวก่ายงานราชกิจ ท่านพูดเรื่องพวกนี้กับข้า…”
“ข้าติ้งเป่ยอ๋องเป็นคนบอกกับเจ้า ไม่ใช่เจ้าแอบฟังเสียหน่อย” เจียงซวี่ตัดบท “อีกอย่างการที่ห้ามมิให้สตรีก้าวก่ายงานราชกิจนั้น ที่ผ่านๆ มาล้วนเอาไว้ใช้กับพวกโง่เขลาไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ต่อไปเจ้าไม่จำเป็นต้องจงใจหลบเลี่ยง เจ้าเป็นพระชายา ออกความเห็นสักสองสามประโยคก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าหากความคิดเห็นมีประโยชน์ ข้าติ้งเป่ยอ๋องก็จะรับฟังไว้ แต่ถ้าเป็นคำพูดยุยงเสี้ยมสอน แล้วข้าติ้งเป่ยอ๋องถูกเจ้าบงการครอบงำ เช่นนั้นก็หมายความว่าข้าผู้นี้ไม่มีความสามารถในการแยกแยะถูกผิด เกี่ยวอันใดกับเจ้าตรงไหน”
หมิงถานจ้องมองเขาอย่างตะลึงอึ้งงัน
คำพูดของเขาในวันนี้อยู่นอกเหนือการอบรมสอนสั่งที่นางเคยได้รับมาตั้งแต่เมื่อก่อน ทว่าฟังแล้วก็ดูเหมือนจะพอมีเหตุผลอยู่บ้าง
“คิดอันใดอยู่หรือ”
หมิงถานส่ายศีรษะ “วันนี้สามีพูดเยอะเหลือเกิน”
“…”
หมิงถานรีบร้อนแก้ตัว “ข้าไม่ได้หาว่าสามีพูดมากนะเจ้าคะ แต่เพราะทุกทีสามีพูดน้อยกว่านี้ ถ้อยคำที่สามีพูดในวันนี้มากกว่าในยามปกติของหนึ่งเดือนรวมกันเสียอีก”
โธ่เอ๊ย ยิ่งแก้ยิ่งแย่
หมิงถานพูดจาสับสนวกวน ขณะที่ไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขเช่นไรนั้น เจียงซวี่พลันเปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าติ้งเป่ยอ๋องอยากถามเจ้า”
“เรื่องใดหรือ”
“เหตุใดเจ้าต้องขึ้นไปบนเรือสำราญด้วย”
เขาครุ่นคิดมาตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งถึงวันนี้ สุดท้ายก็พอจะเข้าใจว่าเหตุใดนางถึงคิดว่าเขาจะไม่สามารถเอาตัวรอดจากภยันตรายได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย นั่นเป็นเพราะนางคิดว่าสกุลซู่ตั้งตัวเป็นเจ้าของแผ่นดินที่หลิงโจว มีอำนาจมากมายล้นฟ้า เหตุการณ์นี้สกุลซู่จงใจวางแผนเล่นงานเขา
แต่ว่าจากความเข้าใจของเขา ต่อให้เขาเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ พระชายาก็ไม่ควรจะหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ถึงจะถูก
ถ้าหากสกุลซู่สามารถเอาชีวิตเขาบนเรือสำราญได้ นางขึ้นไปก็เท่ากับรนหาที่ตายเปล่าๆ นางฉลาดเฉลียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คงไม่ถึงขั้นไม่เข้าใจแม้แต่เรื่องแค่นี้กระมัง อีกทั้งนางก็รักตัวกลัวตายมาตลอด เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า
จริงๆ แล้วในใจของเขาก็พอจะมีคำตอบอยู่เลือนราง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงยังคิดจะถามนางกับปากตนเองอีก พอถามจบ เขาก็เอาแต่จดจ้องนางอยู่อย่างนั้น แววตาสงบเยือกเย็นทว่าเปิดเผยตรงไปตรงมา
หมิงถานสบสายตากับเขาอย่างอึ้งๆ อยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นก็เบนสายตาออกด้วยความอึดอัดขัดเขินเล็กน้อย
นางจิกมุมผ้าห่ม ใบหูเริ่มร้อนผ่าวอย่างไม่มีสาเหตุ
ยามนี้พอได้สติแจ่มชัดแล้ว นางก็รู้สึกว่าเมื่อคืนตนเองช่างโง่เขลาจนเกินควบคุม แต่ว่ายามนั้นนางก็คิดแต่จะทำเช่นนั้น คิดแค่ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกับสามีนางก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เพียงลำพังต่อไปอีก นางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นเหมือนกัน บางทีอาจเพราะนางถูกวางยาก็เป็นได้ เหตุใดถึงต้องเอาแต่ถามนางด้วยเล่า!
“ขะ…ข้าดูเหมือนจะเวียนหัวนิดหน่อย ยังอยากนอนอีกสักครู่…”
สุ้มเสียงของนางแผ่วเบายิ่ง นางดึงผ้าห่มขึ้นมาอย่างเร็วไว ก่อนจะมุดตัวเข้าไปทั้งร่าง กระทั่งศีรษะน้อยๆ ก็ยังคลุมปิดมิดแน่นหนา นอกจากนั้นยังพลิกตัวเข้าด้านใน เขยิบเข้าไปตรงมุมเตียงทีละนิดๆ