ฉันสวัสดีพี่อู๋ซึ่งเป็นสาวประเภทสอง เธอวางเครื่องประดับ รองเท้า และกระเป๋าถือใบเล็กไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอกำลังรื้อเครื่องสำอางออกจากหีบเหล็ก ใช้เวลาแต่งหน้าให้ฉันไม่นานนัก จากนั้นน้องเจี๊ยบก็เข้ามายีผมแล้วเกล้าแบบหลวมๆ ให้ ดูไปแล้วทั้งสองคนเหมือนเป็นหุ่นยนต์ที่เจ๊ได้ตั้งโปรแกรมไว้
ในที่สุดฉันก็พร้อมที่จะไปเดินบนพรมแดงในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ประจำปีนี้ คิดว่าถ้าชีวิตนี้ไม่ได้แต่งงาน วันนี้คงเป็นวันที่ฉันสวยที่สุดอย่างแน่นอน เมื่อช่างแต่งหน้าและช่างทำผมเสร็จสิ้นหน้าที่ของตัวเองก็ลากลับโรงแรมเพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานบ้าง ส่วนเจ๊กี้ก็ขออาบน้ำที่ห้องฉันเลย เมื่อเวลาใกล้หกโมงเย็น คุณนิรุตต์ผู้งามสง่าก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีทองมันวาวทับด้วยเสื้อสูทและกางเกงสีน้ำตาลอ่อนสไตล์เอลวิส เพรสลี่ย์ เจ๊ดูหล่อเหลาอย่างไม่น่าเชื่อ วันนี้ฉันจึงได้ควงหนุ่มรูปงาม (ที่ไม่ได้พิสมัยในตัวผู้หญิง) ออกงานกลางคืนที่แสนจะหรูหรา
“พร้อมรึยังสาวน้อย ไหนดูซิ” เจ๊จับฉันยืนขึ้นแล้วมองฉันในชุดสีแดงทั้งตัว
“หนูชอบรองเท้าคู่นี้จัง น่ารักดี”
มันเป็นรองเท้าส้นสูงแบบเปลือยเท้าที่มีเชือกยาวจนต้องพันขึ้นมาบนขา ถึงจะใส่ยากแต่ก็คุ้มค่าที่เสียเวลาใส่มัน
“หนูใส่สีนี้ขึ้นนะ ผิวสวยเข้ากับสร้อยไข่มุก”
นี่ไม่ใช่การเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวแต่เป็นคำพูดของพี่ที่ชื่นชมน้องสาวของตัวเองอย่างจริงใจ ฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในทันที
“ขอบคุณค่ะ เจ๊ก็ดูดีมากเลย”
เจ๊ยิ้มแล้วทำท่าเลียนแบบเอลวิส “พร้อมรึยัง”
“พร้อมแล้วค่ะ ลุยเลย”
ฉันติดรถซีอาร์วีสีแดงของเจ๊มางาน ซึ่งเจ๊สัญญาว่าจะขับรถมาส่งฉันเมื่องานจบ แต่ยังสงสัยอยู่ว่าใครจะมาส่งใครกันแน่ เพราะเจ๊ต้องดื่มแอลกอฮอล์ในงานคืนนี้แน่นอน คาดว่าฉันคงต้องขับรถไปส่งเจ๊ที่บ้านแล้วขับรถของเจ๊กลับคอนโดฯ ด้วยตัวเอง
เมื่อมาถึงหน้าโรงแรม ฉันเห็นคนทำงานวิ่งไปวิ่งมาอยู่หน้างานเต็มไปหมด ทั้งเจ้าหน้าที่ของโรงแรมและคนที่แต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่าซึ่งคาดว่าจะเป็นคนของนิตยสาร เจ๊เข้าไปพูดคุยกับลูกน้องอีกสองสามคนแล้วกลับมาบอกฉันว่าแขกเริ่มทยอยมากันแล้ว
“หนูต้องการเพื่อนไหม เพราะช่วงแรกเจ๊ต้องไปคอยรับแขกหน้างาน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูอยู่คนเดียวได้ ดูทุกคนกำลังยุ่ง ขอเข้าห้องน้ำก่อนแล้วจะเข้าไปรอในงานเลย เจ๊ไม่ต้องห่วงหนูหรอก แล้วเจอกันในงานนะคะ”