แต่เดิมเรือนชิงเฟิงเป็นคฤหาสน์ต่างแดนที่คหบดีแคว้นเว่ยคนหนึ่งสร้างเอาไว้ในเมืองหานตัน ภายหลังมักมีบัณฑิตสัญจรจากแคว้นต่างๆ แวะเข้ามาพักเสมอ เพิ่มกลิ่นอายเฉกเช่นปัญญาชนพึงมีให้สถานที่นี้ทีละน้อย คหบดีผู้นั้นจึงเปลี่ยนที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมไปเสียเลย แต่ยังคงรักษาบรรยากาศเรียบหรูสงบเงียบเอาไว้เหมือนเดิม และยังเป็นที่ชื่นชอบในหมู่บัณฑิตมาจนถึงตอนนี้
ดอกไม้เดือนสี่ใกล้โรยราหมดแล้ว แต่ยังเหลือกลิ่นหอมลอยอบอวลอยู่ในสวน อี้เจียงสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ นั่งดื่มยารสชาติแปลกตรงริมหน้าต่าง ดื่มหมดไปครึ่งหนึ่งก็ก้มลงมองใบหน้าตนเองที่สะท้อนเลือนๆ อยู่ในถ้วยยา อดจะยกมือขึ้นหยิกไม่ได้
เจ็บ! หยิกไม่รู้กี่ครั้งก็ยังเจ็บเหมือนเดิม ไม่ใช่ฝันจริงๆ ด้วย สติแทบกระเจิงแล้ว เหมือนอย่างที่เคยกระเจิงมาเมื่อแปดสิบสามวันก่อนตอนที่พบว่าตนเองอยู่ในห้องขัง
นางพยายามใช้หลักฟิสิกส์ ชีววิทยา ทัศนศาสตร์ ตลอดจนเทววิทยามาอธิบายปรากฏการณ์ที่ตนประสบพบเจอ แต่พยายามอ้างอิงหลักวิชาการอย่างไร ความจริงก็ยังตีแผ่ให้เห็นตรงหน้าชนิดเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
โชคดีที่พวกผู้คุมคุกปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพ ไม่มีการสอบปากคำและลงทัณฑ์อย่างทารุณเหมือนในจินตนาการ ความแตกตื่นลนลานที่อยู่ๆ ต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้อย่างปุบปับจึงค่อยเบาบางลงบ้าง
วันแรกๆ นางมีอาการมึนหัววิงเวียนอย่างหนัก มักรู้สึกเหมือนสติไม่อยู่กับตัว ทั้งยังฟังภาษาที่นี่ไม่เข้าใจ เสียงสนทนาระหว่างผู้คุมไม่ใช่ภาษามนุษย์เลยสำหรับนาง ราวกับเป็นบทสวดสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
แต่พออาการวิงเวียนหายไป ประสาทสัมผัสกระจ่างชัดขึ้น หูนางก็เริ่มฟังคำพูดของคนที่นี่รู้เรื่องขึ้นทีละน้อย ถ้อยคำที่หลุดออกจากปากของนางก็เป็นภาษาแบบเดียวกับพวกเขา
อัศจรรย์เหลือเกิน ร่างกายนี้เหมือนมีความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ทั้งที่ความคิดในสมองเป็นภาษาปัจจุบัน แต่พอพูดออกมากลับเป็นภาษาโบราณที่ซับซ้อนเข้าใจยาก ราวกับติดตั้งเครื่องแปลภาษาเอาไว้ในหัวก็มิปาน
ต่อมานางจึงลองตั้งข้อสังเกตด้วยตนเอง อาการมึนหัวในช่วงแรกคงเป็นเพราะนางยังไม่ชินกับร่างนี้ เมื่อหัวใจและร่างกายเชื่อมต่อกันโดยสมบูรณ์ ประสาทสัมผัสและความรู้สึกนึกคิดจึงสามารถทำงานรับกันได้อย่างสอดคล้อง
ตอนนั้นห้องขังของอี้เจียงอยู่แยกออกมาเดี่ยวๆ จากห้องขังนักโทษคนอื่น นางเลยเดาว่าคงเป็นเพราะมีความผิดร้ายแรง และคิดไปว่าตนอาจถูกตัดหัว ทำเอาอกสั่นขวัญผวาจนนอนหลับไม่สนิทไปหลายคืน
ภายหลังนางทนไม่ไหวจึงลองถามผู้คุม ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับมายิ้มๆ ‘ถ้าจะตัดหัวท่านจริง พวกเราจะเกรงอกเกรงใจท่านเพียงนี้ไปไย’
เด็กสาวฟังแล้วค่อยโล่งอก พอจะลองถามเรื่องอื่น ผู้คุมกลับตอบได้ไม่มาก นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานะปัจจุบันของตนเป็นเช่นไร รู้แต่ว่ามีคนคอยดูแลความเป็นอยู่ในคุกให้นางไม่น้อย แม้แต่อาหารการกินก็เข้าขั้นดีเลิศ
อี้เจียงพยายามปรับตัวให้คุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การถูกขังเดี่ยวเป็นเวลานานทำให้มนุษย์เกิดความคิดฟุ้งซ่าน นางถึงกับคิดว่าตนเองจะถูกขังอยู่เช่นนี้ไปชั่วชีวิต จวบจนยี่สิบกว่าวันก่อน ผู้คุมได้นำจดหมายฉบับหนึ่งมายื่นให้ บอกว่ามือกระบี่แคว้นเยียนนามตันคุยเขียนมาถึงนาง
อี้เจียงเปิดจดหมายอ่านด้วยความหวังอันล้นปรี่ ปรากฏว่านางแทบจะสติแตกอีกครั้งเมื่อพบว่าอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว
และแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน นางก็ถูกปล่อยตัวจริงๆ
ตอนเดินออกจากคุกมาเห็นคนที่รอตนอยู่ นอกจากตันคุยแล้ว อี้เจียงก็นึกถึงคนอื่นไม่ออก
อี้เจียงคาดเดาความเป็นไปได้เอาไว้มากมาย ตันคุยอาจเป็นบิดา เป็นพี่ เป็นญาติ หรือกระทั่งสามีของนาง แต่นึกไม่ถึงว่าความจริงเขาจะเป็นองครักษ์
จากคำบอกเล่าของตัวตันคุยเอง ในอดีตเจ้าสำนักกุ่ยกู่เคยมีบุญคุณกับเขามาก่อน ดังนั้นหลังสำเร็จเพลงกระบี่ เขาจึงดั้นด้นขึ้นเขาไปเสาะหาร่องรอยของเจ้าสำนักกุ่ยกู่ ตั้งใจจะปรนนิบัติรับใช้สามปีเพื่อทดแทนคุณ แต่ผ่านไปแค่ปีเดียว เจ้าสำนักกุ่ยกู่ก็เสียชีวิตก่อน ตันคุยคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องทำหน้าที่ไปอีกสองปี จึงจะขอรับใช้ศิษย์ของเจ้าสำนักกุ่ยกู่ต่อ
กงซีอู๋ปฏิเสธ เพราะตนมีความสามารถพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ ตันคุยจึงเบนเป้าหมายมายังศิษย์คนเล็กที่ตัวผอมกะหร่องราวกับต้นถั่วงอกแทน
สองวันมานี้อี้เจียงซักไซ้เรื่องบุญคุณในอดีตแบบขุดลึก ที่แท้บุญคุณในตอนนั้นก็เกิดขึ้นเพียงเพราะเจ้าสำนักกุ่ยกู่ให้น้ำตันคุยดื่มชามหนึ่ง…
สำหรับนางแล้ว ท่าทางสำนึกในบุญคุณของตันคุยอยู่ในระดับตำนานเลยทีเดียว
ตันคุยเป็นคนซื่อตรง อุปนิสัยดูไม่ซับซ้อน ซ้ำยังติดจะช่างคุย นางจึงได้รู้เรื่องราวต่างๆ มากมายจากการคุยกับเขา
ตอนนี้อี้เจียงรู้ชัดแล้วว่าตนเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักกุ่ยกู่ มีศิษย์พี่นามกงซีอู๋ หนึ่งปีก่อนนางเคยเป็นเหมินเค่อชั้นสูงของผิงหยวนจวินแห่งแคว้นจ้าว ใครต่อใครพากันเรียกนางว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อ ส่วนเพราะอะไรนางจึงถูกศิษย์พี่ส่งเข้าคุกนั้น ตันคุยกลับเอ่ยถึงเรื่องนี้ค่อนข้างคลุมเครือ โดยกล่าวว่า ‘ลุ่มลึก คาดเดายาก เปลี่ยนแปลงได้ร้อยพันอย่างในพริบตา สมกับที่เป็นศิษย์ท่านกุ่ยกู่’