อี้เจียงยกมือนวดขมับ เปิดประตูเดินลิ่วๆ ออกมา “คำสั่งของนายท่าน หวนเจ๋อไม่กล้าฝ่าฝืน”
“เรียกนายท่านได้ไม่เลวนี่!” หัวใจของจ้าวจ้งเจียวเต็มไปด้วยความเดือดดาลที่ไร้ทางระบาย เห็นสีหน้าท่าทางนางก็ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม “ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในจวน ผู้ทรงภูมิเคยทำประโยชน์อะไรให้ข้าซึ่งเป็นนายสักนิดบ้างหรือไม่ ข้าพยายามส่งเสริมเจ้าเต็มที่ จนปัจจุบันต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ผู้ทรงภูมิเคยทำอะไรเพื่อข้าบ้างหรือ!”
อี้เจียงนิ่งอึ้ง แม้ว่าพูดเช่นนี้จะไม่ยุติธรรมกับนาง แต่ก็เป็นความจริงที่นางปฏิบัติหน้าที่ของเหมินเค่อบกพร่อง เพราะความสามารถมีอยู่จำกัด ยิ่งกว่านั้นคือนางปล่อยตนเองไหลไปตามเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ถึงตอนนี้จะได้รู้แล้วว่าประวัติศาสตร์ดำเนินไปคนละเรื่องกับที่นางรู้มาโดยสิ้นเชิง
“ถ้าไม่ติดว่าเสด็จแม่ทรงสั่ง เกรงว่าป่านนี้ผู้ทรงภูมิคงจะหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้วสินะ” พูดๆ ไปจ้าวจ้งเจียวก็ชักกระบี่ที่ห้อยเอวออกมาอย่างเดือดดาล ทำเอาข้ารับใช้สองคนนั้นถอยกรูดไปข้างหลังอย่างแตกตื่น
อี้เจียงเห็นเงากระบี่สะบัดวูบตรงหน้าก็หรี่ตาถอยหนีโดยไม่รู้ตัว แต่สะดุดชายเสื้อตนเองจนล้มลงไปกับพื้น พอเงยหน้าขึ้นอีกทีก็ต้องขนหัวลุก เมื่อเห็นปลายกระบี่จ่ออยู่ตรงหว่างคิ้ว
ห้องโถงเต็มไปด้วยผู้คน ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อโดนกระบี่จ่อนั่งหมดท่าอยู่บนพื้น ชื่อเสียงคงป่นปี้ย่อยยับหมดแล้ว นางพลันเข้าใจความรู้สึกของจ้าวจ้งเจียวขึ้นมา เขาคงอยากให้นางตกต่ำไปด้วยกันกับเขา แต่ถึงจะเข้าใจอย่างไรก็ขออย่าให้เขาพลาดฟันกระบี่ลงมาจริงๆ แล้วกัน!
ตันคุยที่วิ่งออกมาตามเสียงก็ร้อนใจดั่งไฟลน อดไม่ได้ที่จะชักกระบี่ออกมาทำท่าจะเข้าไปขวาง แต่เผยยวนรีบรั้งเขาไว้อย่างว่องไวพลางหันไปพูดกับจ้าวจ้งเจียวอย่างเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “นายท่านโปรดอย่าได้เกรี้ยวกราด อย่าให้โทสะเข้าครอบงำจนพลั้งมือทำร้ายคนมีความสามารถเลยขอรับ”
“หึ!” จ้าวจ้งเจียวแค่นยิ้ม
อี้เจียงชินกับอารมณ์แปรปรวนของจ้าวจ้งเจียวแล้ว จึงไม่ถึงกับลนลาน หลังตั้งสติได้นางก็เอ่ยขึ้นว่า “นายท่านเอาแต่โทษว่าหวนเจ๋อไม่พยายามช่วยท่านให้รอดพ้นปัญหา ความจริงแล้วเป็นเพราะหวนเจ๋อมองการณ์ไกลต่างหาก สถานการณ์ในตอนนี้เป็นผลดีต่อตัวนายท่านเอง”
ฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร”
นางกวาดตาไปโดยรอบราวกับจะถามว่า…ท่านคงไม่คิดจะให้ข้าพูดตรงนี้หรอกกระมัง
จ้าวจ้งเจียวเองก็เข้าใจว่าตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วย เห็นสีหน้าเยือกเย็นของนางก็พอจะคล้อยตามอยู่บ้าง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะชักกระบี่ในมือกลับไป
ขุนนางส่งเสด็จสังเกตสีหน้าฉางอันจวิน แล้วไล่คนแคว้นฉีที่ยืนมุงโดยรอบออกไปพลางเข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์
ข้ารับใช้แคว้นฉีสองคนนั้นยังชะเง้อคอมองไม่ยอมออกไป จ้าวจ้งเจียวหน้าบึ้ง แน่นอนว่าคำปลอบโยนย่อมไม่เข้าหู
ร่างเล็กบางของอี้เจียงอ่อนแอเหลือเกิน แค่นั่งอยู่ในท่าเดิมไม่ทันไรขาทั้งสองข้างก็เริ่มเป็นเหน็บ แผ่นหลังชื้นไปด้วยเหงื่อ
ตันคุยเห็นเช่นนั้นจึงไม่ยอมทนอีกต่อไป เขาผลักเผยยวนออกจากตัว ชักกระบี่ก้าวเข้าไปขวางหน้าจ้าวจ้งเจียว แต่เพิ่งจะเดินเข้ามา เสียงเคร้งก็ดังขึ้นข้างล่าง กระบี่เล่มหนึ่งปักเฉียงบนพื้นตรงปลายเท้าเขา ยังคงสั่นไปมานิดๆ นอกจากจะหยุดฝีเท้าเขาได้ในทันที ยังตรึงชายเสื้อคลุมยาวกรุยกรายของจ้าวจ้งเจียวเอาไว้กับพื้น
จ้าวจ้งเจียวสะดุ้งเฮือก ดึงกระบี่ในมือกลับมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
อี้เจียงที่ลำคอแห้งผากไปหมดหันมอง ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้องโถง รูปร่างสูงโปร่ง ใส่ชุดขาว ครอบรัดเกล้าหยก ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาเป็นประกายลึกล้ำ
พวกแคว้นฉีในที่นั้นพากันค้อมศีรษะคำนับ ถึงแม้อี้เจียงจะไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่ก็ถอนสายตาออกจากร่างนั้นไม่ได้เลย
ตอนพูดคุยเรื่องบทกวีด้วยกัน เผยยวนเคยวิเคราะห์คำว่า ‘งาม’ ให้นางฟังว่า ‘รูปร่างหน้าตางดงาม ผิวกายผุดผ่องนวลเนียน ถือเป็นความงามชั้นต้น บุคลิกผ่าเผย อากัปกิริยาสง่างาม ถือเป็นความงามชั้นกลาง และความนิ่งสงบเยือกเย็น ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ไยดีต่อทุกสิ่ง ราวกับมีสายน้ำไหลรินอยู่ในใจ เป็นความงามชั้นสูง’
ตอนนั้นนางถามขันๆ ‘ชั้นต้นกับชั้นกลางยังบรรยายคนอยู่หรอกนะ แต่ชั้นสูงน่าจะมีแต่เทพเท่านั้นกระมัง’
เผยยวนตอบด้วยท่าทางขึงขัง ‘ไม่นะขอรับ มีคนที่มีความงามชั้นสูงอยู่จริงๆ เช่นผู้ทรงภูมิกงซี’
อี้เจียงรู้สึกเหมือนถูกทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง และตอนนี้การทำร้ายดังกล่าวก็เปลี่ยนเป็นความจริงให้เห็นตรงหน้า แต่ก่อนเผยยวนพูดถึงกงซีอู๋ให้นางฟังอยู่หลายครั้ง หาถ้อยคำมาสรรเสริญเยินยอได้ร้อยแปดพันเก้า นางฟังแล้วก็ลืม แต่ตอนนี้คำชมทุกคำพลันผุดขึ้นมาในสมองอย่างแจ่มชัด
“ศิษย์พี่…” เขาคงเป็นเพียงคนเดียวที่นางรู้ว่าเป็นใครโดยไม่ต้องขอคำยืนยัน
“กงซีอู๋ เสนาบดีแคว้นฉี มาที่นี่เพื่อต้อนรับฉางอันจวินโดยเฉพาะ” คนผู้นั้นค้อมตัวคารวะ ก่อนจะเหลือบตามาทางนางเล็กน้อย “ศิษย์น้อง”
เผยยวนเข่าอ่อน หมดสติล้มพับไปตรงนั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป