ตันคุยรออยู่ในศาลา เซ่าจิวพาอี้เจียงเดินเลียบแม่น้ำออกไปเรื่อยๆ ตรงนั้นเป็นผืนป่าเล็กๆ เมื่อเดินทะลุออกไปก็เป็นช่วงคอคอดของแม่น้ำจือสุ่ย บนแม่น้ำมีเรือเล็กลอยอยู่ลำหนึ่ง
เซ่าจิวลงเรืออย่างชำนิชำนาญ ก่อนหันมาประคองอี้เจียงแล้วพูดขึ้นขณะพายเรือ “ได้ยินว่าผู้ทรงภูมิกุ่ยกู่ใช้ชีวิตอยู่บนเขาอวิ๋นเมิ่งมาโดยตลอด คิดว่าผู้ทรงภูมิคงไม่มีโอกาสได้ลงน้ำสักเท่าไร”
อี้เจียงว่ายน้ำเป็น ทั้งไม่กลัวน้ำสักนิด แต่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น นางจึงต้องแกล้งจับกราบเรือแน่น ทำเหมือนเพิ่งเคยลงน้ำเป็นครั้งแรก “ไม่ใช่เสียหน่อย”
เซ่าจิวหัวเราะแล้วพายเรือไปฝั่งตรงข้าม
อี้เจียงเกาะเซ่าจิวมือหนึ่ง ส่วนอีกมือถลกชายเสื้อคลุมก่อนกระโดดลงจากเรือ จากนั้นก็มองผืนป่าด้านหน้า พูดยิ้มๆ “ตรงนี้กำลังเหมาะ อยากพูดอะไรก็พูดได้เลย ไม่มีใครได้ยินหรอก”
เซ่าจิวเดินตามหลังนางไม่พูดไม่จา
อี้เจียงนึกว่าเซ่าจิวกำลังคิดว่าจะพูดเช่นไรดีจึงไม่รบกวน เดินต่อไปได้สามสี่ก้าวก็เห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางแมกไม้ สวมชุดสีขาวเรียบๆ ปล่อยผมยาวสยายอย่างผ่อนคลาย กงซีอู๋นั่นเอง นางจึงถลกชายเสื้อคลุมวิ่งเข้าไปหา
“ศิษย์พี่ก็อยู่ด้วยหรือ”
ชายหนุ่มยืนพิงโคนต้นไม้หลับตาทำสมาธิ พอได้ยินเสียงอี้เจียงก็ลืมตาขึ้นมา “ศิษย์น้องเป็นคนเรียกข้ามามิใช่หรือ”
“หา?” นางชะงัก ฉับพลันก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นรอบตัวพร้อมกับรู้สึกว่างโหวงที่ใต้ฝ่าเท้า นางล้มลงทั้งตัวและเห็นแวบๆ ว่ากงซีอู๋ก็ล้มเช่นกัน
พอพยายามลุกขึ้นมาก็พบว่าตนเองติดอยู่ในหลุมเสียแล้ว ขาขยับไม่ได้โดยสิ้นเชิงเพราะถูกท่อนไม้สี่ท่อนที่พาดตัดกันในแนวระนาบตรึงเอาไว้ รอบตัวมีท่อนไม้พุ่งออกมาเพิ่มจากทิศทางต่างๆ พาดกันไปมา คราวนี้แม้แต่เอวกับคอนางก็ขยับไม่ได้เช่นกัน เหมือนติดอยู่ในกรงสามชั้นอย่างไรอย่างนั้น
“กลไกสำนักโม่จื่อสมคำเล่าลือจริงๆ” เสียงเนิบนาบของกงซีอู๋ดังขึ้น เขาน่าจะอยู่ข้างๆ ในสภาพไม่ต่างจากนางเท่าไร
อี้เจียงแหงนหน้าขึ้น เซ่าจิวกำลังยืนมองลงมาจากปากหลุม ในมือถือเชือกเส้นหนึ่ง ฝ่ายนั้นเหลือบตามองไปทางซ้าย จากนั้นก็มองไปทางขวา “สำนักกุ่ยกู่ไม่เคยมีเจตนาจะยุติสงคราม มีแต่คิดจะโหมกระพือไฟสงครามให้ยิ่งลุกลาม สำนักที่ถือหลักไม่โจมตีซึ่งกันและกันอย่างสำนักโม่จื่อเราไม่ยอมนิ่งดูดายเป็นอันขาด วันนี้ขอให้ทั้งสองท่านคิดทบทวนให้ดี หากผู้ทรงภูมิกงซียอมลาออกจากราชสำนักไปใช้ชีวิตอย่างสงบ ส่วนผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อก็ไม่ก้าวก่ายกับความเป็นไปของใต้หล้าอีก ข้าก็จะปล่อยพวกท่านไป มิเช่นนั้นก็เชิญติดอยู่ในนี้ต่อไปเถอะ!” เซ่าจิวพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป
อุตส่าห์ได้เจอสตรีที่เป็นสหายพูดคุยได้ ซ้ำยังเป็นสหายของเผยยวน อี้เจียงจึงปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างจริงใจ นึกไม่ถึงว่าจะโดนเล่นงานเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอี้เจียงหดหู่เพียงใด
แต่นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนี้
อี้เจียงตั้งสติพิจารณาท่อนไม้ตรงหน้า แต่ละท่อนใหญ่หนาแข็งแรง ไม่รู้ว่าสตรีตัวเล็กๆ อย่างเซ่าจิวยกไหวได้อย่างไร แม้จะเป็นท่อนไม้ แต่เมื่อวางพาดตัดกันไปมากลับจำกัดการเคลื่อนไหวให้เป็นศูนย์ได้ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
นางพลันนึกขึ้นได้ว่ากงซีอู๋มีนิสัยพกกระบี่ติดตัว จึงพยายามใช้หัวไหล่ดันท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ตั้งใจว่าจะดันให้เกิดช่องว่างเพื่อปีนออกไปหาเขาแล้วใช้กระบี่ช่วยคนออกมา
คิดเอาไว้เสียสวยหรู แต่พออี้เจียงดันไม้ท่อนนั้นออกจากตัวด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี กลับได้ยินเสียงหนักๆ ดังลั่น พร้อมกับที่ผนังหลุมฝั่งซ้ายมือทลายลง ที่แท้ผนังหลุมนี้ก็เป็นแค่การสร้างพื้นที่ลวงตาโดยใช้กิ่งไม้พอกโคลนวางไว้ในแนวตั้ง ท่อนไม้เมื่อครู่เคลื่อนไปกระแทกผนังให้ทลายลง แล้วพุ่งต่อไปจนสุดทาง
สุดทางคือกงซีอู๋ที่ถูกไม้ท่อนนั้นกระทุ้งชายโครงเข้าอย่างจังจนร้องอู้ในคอ
โปรดติดตามตอนต่อไป