อี้เจียงไม่รู้ว่าพวกนั้นเตรียมอะไรเอาไว้ ได้แต่เดินตามไป
เด็กรับใช้พาอี้เจียงเดินรอบสำนักศึกษารอบหนึ่ง พอเสียงระฆังทุ้มหนักดังแว่วแต่ไกล เขาก็เร่งฝีเท้าขึ้นทันทีและขอให้อี้เจียงรีบเดิน
เดินไปได้ครึ่งทาง อี้เจียงก็เห็นเหล่าบัณฑิตเมื่อครู่ทยอยกันเดินมาทางนี้ จึงเดาว่าเสียงระฆังคงเป็นสัญญาณเรียกรวมตัว
สุดเฉลียงยาวคือลานกว้างขนาดใหญ่ โดยอยู่ตรงข้ามกับหอสูง มองผ่านบันไดขึ้นไปเห็นบานประตูห้องโถงเปิดกว้าง เด็กรับใช้นำทางอี้เจียงมาจนถึงที่นี่ก็กลับไป นางเดินเรียงแถวตามบัณฑิตคนอื่นๆ เข้าไปข้างใน
ห้องโถงใหญ่ซึ่งเปี่ยมด้วยความขลังสร้างลึกเข้าไปเป็นแนวยาว เสาข้างในสูงใหญ่วิจิตร ตั้งแต่ประตูไปจนถึงโต๊ะประธานปูด้วยพรมผืนหนา ทอเป็นลวดลายงดงาม ด้านหลังโต๊ะคือฉากบังตารูปวิหคเหิน ทางด้านซ้ายและด้านขวาห้อยม่านที่กระเพื่อมเบาๆ ตามลม เชื่อว่าด้านหลังจะต้องเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ สองฝั่งพรมคือโต๊ะและเบาะนั่งที่จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยฝั่งละหลายแถว เท่าที่ดูสามารถรองรับเป็นร้อยคนได้โดยไม่เป็นปัญหา
บัณฑิตพากันหาที่นั่ง อี้เจียงเห็นพวกเขาหาที่นั่งกันตามสบาย ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องนั่งตรงที่ใด นางจึงเดินเข้าไปนั่งบ้าง แต่จงใจเลือกนั่งแถวหลังให้ห่างจากโต๊ะประธานเข้าไว้
เมื่อทุกคนนั่งกันครบหมดแล้ว ข้ารับใช้คนหนึ่งก็เดินออกจากหลังฉากบังตามายืนข้างโคมไฟทรงนกกระเรียนแล้วประกาศเสียงดัง “ท่านมหาอำมาตย์อันผิงจวินมาถึงแล้ว”
เสียงในห้องเงียบลง คนอีกคนเดินออกมาจากด้านหลังฉากบังตา คนผู้นั้นมีคิ้วหนาเข้ม ตาโต รูปหน้าเหลี่ยม ไว้เคราสั้น รูปร่างสูงใหญ่ เขาก้าวเข้ามานั่งลงตรงโต๊ะประธาน
นี่เองมหาอำมาตย์แคว้นฉีที่ทำให้จ้าวจ้งเจียวโมโหแทบตาย อี้เจียงรู้ว่าคนผู้นี้ชื่อเถียนตัน เพราะก่อนออกจากจวนตัวประกันได้ยินจ้าวจ้งเจียวด่าอยู่แว่วๆ เจ้าตัวสวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าสีฟ้าอ่อนไร้ลวดลาย ดูน่าจะเป็นคนสมถะเรียบง่าย
เถียนตันนั่งตัวตรงสง่า กระแอมทีหนึ่งก่อนเริ่มอารัมภบทซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าวันนี้อากาศดี ตนดีใจเป็นอย่างมากที่ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่
อี้เจียงไม่ได้สนใจฟังเท่าไรนัก เพราะกำลังกวาดตามองไปรอบห้องโถง เหตุใดถึงไม่เห็นกงซีอู๋นะ
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอเชิญทุกท่านแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ตามสบาย”
เถียนตันพูดมาถึงตรงนี้ อี้เจียงถึงเพิ่งหลุดจากภวังค์ บัณฑิตที่นั่งแถวหน้าลุกขึ้นยืนกล่าวเสียงดัง “อันผิงจวินกล่าวเช่นนี้ผิดเสียแล้ว แคว้นฉีได้ตกลงไว้กับแคว้นจ้าวว่าขอเพียงส่งตัวประกันเข้ามา แคว้นฉีก็จะส่งกองทัพไปช่วยรบกับแคว้นฉิน แล้วไฉนถึงต้องยกเรื่องนี้มาถกกันอีกเล่า”
เถียนตันตอบ “การส่งกองทัพออกไปเป็นเรื่องใหญ่ ควรพูดถึงผลได้ผลเสียให้กระจ่างอยู่แล้ว”
อี้เจียงชะงัก ที่แท้ก็มาถกกันว่าแคว้นฉีจะส่งกองทัพออกไปดีหรือไม่หรอกหรือ อย่าบอกนะว่าแคว้นฉีจะผิดคำพูด?
บัณฑิตผู้นั้นส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำตอบของเถียนตัน “เมื่อคิดสร้างแคว้นจะเสียสัจจะมิได้ หาไม่จะถูกคนทั้งแผ่นดินหัวเราะเยาะเอา”
เถียนตันขมวดคิ้ว ท่าทางคล้อยตาม จากนั้นก็กวักมือเรียกข้ารับใช้เข้ามากระซิบอะไรข้างหูสองสามประโยค
ข้ารับใช้หายเข้าไปหลังฉากบังตา ไม่นานก็ถือม้วนหนังสือไม้ไผ่ออกมาส่งให้เถียนตันม้วนหนึ่ง
เถียนตันกวาดตาอ่าน ถึงค่อยเหมือนได้เติมความมั่นใจ เมื่อเอ่ยออกมาอีกครั้งน้ำเสียงจึงหนักแน่นขึงขัง “พูดถึงแคว้นที่ไม่รักษาสัจจะ แคว้นจ้าวนั่นแหละที่เป็นอันดับหนึ่ง หลายปีก่อนแคว้นจ้าวพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะใช้เมืองเจียว เมืองหลี และเมืองหนิวหูมาแลกคืนเมืองลิ่น เมืองฉี และเมืองหลีสือที่แคว้นฉินตีไปได้ แต่เมื่อแคว้นฉินคืนทั้งสามเมืองให้แล้ว แคว้นจ้าวกลับผิดคำพูด เป็นเหตุให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างฉินกับจ้าว บัณฑิตสำนักข่งจื่ออย่างพวกท่านพูดว่าควรช่วยเหลือผู้มีคุณธรรมให้มาก ช่วยผู้ไร้คุณธรรมให้น้อย ในเมื่อแคว้นจ้าวเสียสัจจะก่อน เช่นนี้เรียกว่าไร้คุณธรรมได้หรือไม่ แคว้นฉีเราไม่อยากช่วยก็ปกติมิใช่หรือ”
“เอ่อ…” บัณฑิตผู้นั้นนั่งลงไปอย่างกระอักกระอ่วน