หลังจากยื่นเรื่องขอเข้าเฝ้าพระพันปีจ้าวไปแล้ว วังหลวงก็ส่งคนมารับในบ่ายวันที่สอง
วังหลวงแคว้นจ้าวไม่หรูหราเท่าแคว้นฉี แต่ก็สง่างาม
อี้เจียงตามข้าราชบริพารเดินไปถึงตำหนักบรรทมของพระพันปี ถอดรองเท้าเข้าตำหนัก รอบตัวเงียบสงัดไร้เสียงใดๆ แม้แต่นางกำนัลสักคนก็ไม่มีให้เห็น
การตกแต่งภายในยังเหมือนเดิมทุกประการ แต่ตัวพระพันปีจ้าวกลับเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าซีดขาวยิ่งกว่าที่เคย รูปร่างก็ซูบเซียวลง
อี้เจียงสวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าผ้าไหมสีขาวที่พระมเหสีจวินมอบให้ค้อมตัวคำนับ น้ำเสียงเนิบเนือยไม่เปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายดังเข้าหู “ผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อกลับมาในฐานะทูตแคว้นฉี ข้าแปลกใจยิ่งนัก”
นางหลุบตา เสียงยังแหบนิดๆ “หวนเจ๋อเป็นทูตแคว้นฉี แต่ในใจยังมีแคว้นจ้าว ขอพระพันปีโปรดทรงเข้าพระทัยในจุดนี้”
“หือ? หมายความว่าอย่างไร”
“หวนเจ๋อมาแคว้นจ้าวครั้งนี้เพื่อช่วยตนเอง แต่บางทีก็อาจช่วยแคว้นจ้าวไปพร้อมกันได้”
พระพันปีขยับตัวขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น กวักมือเรียกนาง อี้เจียงก้าวไปข้างหน้าช้าๆ พร้อมกับที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเสียงแผ่ว “หากผู้ทรงภูมิช่วยแคว้นจ้าวได้ ข้ายินดีถอนคำพูดแต่เดิม แล้วแต่งตั้งเจ้าเป็นเสนาบดี”
อี้เจียงหัวเราะขันอย่างอดไม่อยู่ “พระพันปี หม่อมฉันเป็นสตรีนะเพคะ”
ฝ่ายตรงข้ามส่ายหน้า “ผู้ทรงภูมิก็เหมือนกับข้า เกิดในยุคนี้นับว่าทั้งโชคร้ายและโชคดี”
อี้เจียงฟังด้วยความงุนงง
พระพันปีอธิบายช้าๆ “ในอดีตข้าคิดว่าตนเองช่างโชคร้ายเหลือเกินที่เกิดเป็นสตรีในราชวงศ์ อายุครบสิบหกก็ต้องถูกจับคู่แต่งงานไปอยู่ราชวงศ์อื่น โดยที่ตนเองทำอะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แต่มาลองคิดดูอีกที ข้าโชคดีอย่างใหญ่หลวงที่ไม่ได้ถือกำเนิดเป็นหญิงสามัญชน อย่างน้อยข้าก็สุขสบาย มีกินมีใช้ไปชั่วชีวิต ตัดสินใจเองได้ในหลายๆ เรื่อง ไม่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่เพราะภัยสงคราม ผู้ทรงภูมิเองก็เหมือนอย่างข้ามิใช่หรือ”
อี้เจียงเข้าใจกระจ่างแจ้ง
พระพันปีจ้าวกล่าวได้ไม่ผิด นางเคยกลัดกลุ้มทุกข์ใจที่ตนเองเป็นศิษย์สำนักกุ่ยกู่ เพราะเทียบกับแต่ก่อนแล้ว การใช้ชีวิตด้วยตัวตนนี้กลับเต็มไปด้วยอันตราย แต่ถ้านางเป็นแค่หญิงชาวบ้านในยุคนี้ ไม่ทันไรก็คงถูกจับแต่งงาน เหนื่อยตัวเป็นเกลียวไปทั้งชีวิตโดยไม่มีทางขัดขืนได้ ดีไม่ดีอาจต้องปากกัดตีนถีบเพื่อให้มีชีวิตรอด นั่นก็เป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ
ในสังคมที่มนุษย์ไร้สิทธิเสรีภาพนี้ ตัวตนของนางถือว่าได้เปรียบมากแล้ว เพราะทำอะไรต่ออะไรได้หลายอย่าง
อี้เจียงเม้มปากเงยหน้าขึ้นกล่าว “พระพันปีทรงมีพระทัยกว้าง หวนเจ๋อขอน้อมรับโอวาท”
พระพันปีเอามือกุมหน้าผากเอนร่างบนตั่งพลางส่ายหน้า “เสียดายที่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางการศึกจะเป็นเช่นไร ยากเหลือเกินที่จะช่วยจ้าวได้”
“หวนเจ๋อมีอยู่วิธีหนึ่ง อยากจะหารือกับพระพันปี บางทีอาจเป็นทางออกให้แคว้นจ้าวได้” จนถึงตอนนี้อี้เจียงก็ยังไม่ได้เอาราชสาส์นของพระมเหสีจวินออกมา นางเดินไปข้างหน้าสามสี่ก้าวแล้วโน้มตัวลงกระซิบเบาๆ ข้างหูพระพันปี
อี้เจียงเดินทางกลับแคว้นฉีในวันรุ่งขึ้น ตอนที่ข่าวมาถึงหูกงซีอู๋ นางก็ใกล้ถึงเมืองหลินจือแล้ว
ฉีหวังป่วยหนัก จึงไม่มีการประชุมขุนนางในวังหลวงมานานแล้ว ราชกิจต่างๆ ล้วนถูกจัดการในห้องข้างท้องพระโรงแทน
พระมเหสีจวินนำรัชทายาทเจี้ยนกับขุนนางใหญ่ที่ไว้เนื้อเชื่อใจหลายคนรออยู่ในห้องอย่างกระสับกระส่าย จวบจนทหารมารายงานว่าผู้ทรงภูมิหวนเจ๋อเข้ามาในวังหลวงแคว้นฉีแล้วถึงค่อยสบายใจ
เสียงรายงานดังขึ้นสามครั้ง กงซีอู๋เหลือบตามองไปทางประตูตำหนัก
เด็กสาวที่เดินเข้ามาข้างในไม่ได้ดูจืดจางเหมือนที่แล้วมา นางสวมเสื้อคลุมยาวกรอมเท้าแขนกว้างสีดำ ปักลวดลายตรงคอและชายแขนเสื้อด้วยดิ้นทอง ผมรวบสูงไว้เหนือกระหม่อม ปล่อยปลายยาวเป็นหางม้าทิ้งตัวลงบนแผ่นหลัง กวัดแกว่งเบาๆ ตามจังหวะก้าวเดิน ดูเคร่งขรึมแต่ซุกซนอยู่ในที
“ผู้ทรงภูมิกลับมาเสียที เป็นเช่นไรบ้าง” พระมเหสีจวินไม่รอให้อี้เจียงคารวะก็ชะโงกตัวมาถามจากหลังโต๊ะ
อี้เจียงตอบ “หม่อมฉันร่วมลงนามความสัมพันธ์ใหม่กับแคว้นจ้าว ต่อไปจ้าวและฉีจะเป็นเสมือนแคว้นพี่แคว้นน้อง มีสายสัมพันธ์อันดี ร่วมใจต่อต้านแคว้นฉินด้วยกันตลอดไป ไม่มีวันเป็นอื่น”
รอบตัวเงียบกริบ ขุนนางหลายคนลุกพรวดขึ้นยืนด้วยความตกใจ
ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมเอาไว้อย่างประณีตของพระมเหสีจวินผงะไปเล็กน้อย “ผู้ทรงภูมิพูดผิดหรือว่าข้าฟังผิดกันนี่”
อี้เจียงหลุบตาอย่างนอบน้อมพลางตอบช้าๆ “พระมเหสีมิได้ทรงฟังผิด และหม่อมฉันก็ไม่ได้พูดผิด”
ภายในตำหนักเงียบสงัดราวกับป่าช้า จวบจนพระมเหสีจวินสะบัดแขนเสื้อปัดจอกชาบนโต๊ะทิ้ง
“โอหัง! ข้าให้เจ้าไปแคว้นจ้าวเพื่อตัดสัมพันธ์ แต่เจ้ากลับลงนามความสัมพันธ์ใหม่ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเป็นตัวแทนแคว้นฉีทำการเช่นนี้!”
อี้เจียงเหลือบตาขึ้นมองช้าๆ “สิทธิ์ที่พระพันปีทรงแต่งตั้งหม่อมฉันเป็นทูตแคว้นฉีอย่างไรเล่าเพคะ”
“เจ้า…” พระมเหสีจวินเดือดดาลยิ่ง สั่งบริวารให้เข้าไปจับนาง