เอ็มมานูเอลหลับเป็นตายหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดเต็มทีแล้ว พอดีกับที่แม่เนื่องมาเคาะประตูห้องเขาเพื่อเรียกไปทานข้าวเย็น ชายหนุ่มเริ่มประมวลความทรงจำและจำได้ว่าตอนนี้ เขาอยู่บ้านของตากับยายในประเทศไทยเพื่อพักร้อนและสงบสติอารมณ์ตามที่แม่แนะนำ
ชายหนุ่มยันตัวขึ้นมาจากเตียงนอนอย่างงัวเงีย ก่อนจะเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำเพื่อให้ตาสว่างมากขึ้น อาการเจ็ตแล็กยังไม่หายไปนักแต่ก็ถือว่าโอเคขึ้นกว่าตอนลงจากเครื่องใหม่ๆ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนมาก มือขาวแข็งแรงลูบน้ำเย็นไปตามลำคอ พลันนึกถึงใบหน้าเรียบๆ ของเด็กคนนั้นขึ้นมาได้
ชื่ออะไรนะ…เท็น…เทม…
เทมส์เหรอ เทมส์แบบแม่น้ำเทมส์น่ะเหรอ
แต่เอ็มมานูเอลรู้สึกว่าแม่เนื่องไม่ได้ออกเสียงชื่อเด็กนั่นแบบนั้นนี่นา
แล้วทำไมเขาต้องไปติดใจสงสัยอะไรมากมายด้วย ก็แค่คนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยพบกัน แปลกชะมัด…ในสมองลึกๆ ของเอ็มมานูเอลนั้นกลับรู้สึกคุ้นหน้าเด็กคนนั้นอยู่ไม่น้อยเลย เหมือนเคยเจอกันมาก่อน แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพานจะปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าพอร่างสูงชะลูดเกือบแตะร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเอ็มมานูเอลเดินตรงไปยังศาลากลางเรือน เขากลับไม่เห็นร่างผอมบางของเด็กนั่นเลย ทั้งที่นึกว่าเธออาจจะอยู่กินมื้อเย็นด้วยแท้ๆ ชายหนุ่มลงไปถึงห้องรับประทานอาหารที่ใต้ถุนเรือนก็ยังไร้วี่แววของเด็กคนนั้น เอ็มมานูเอลเห็นแค่ตากับยายของเขาเท่านั้น บนโต๊ะมีสำรับอาหารมากมายที่จัดวางเอาไว้อย่างแน่นเอี้ยดจนน่ากลัวว่าจะทานไม่หมด
“ยายเตรียมของชอบเราไว้ทั้งนั้นเลยนะตาเอ็ม ไม่รู้เรายังจำได้หรือเปล่า” นภาว่าก่อนจะตักกุ้งตัวโตในต้มยำกุ้งสีสันน่ารับประทานให้หลานชายเพียงคนเดียวอย่างเอาใจ
เอ็มมานูเอลพอจะจำได้ว่าอาหารไทยแต่ละอย่างบนโต๊ะนี้เขาล้วนชอบทานทั้งนั้น บางอย่างอาจจำรสชาติไม่ได้มากนักแต่ก็พอคุ้นหน้าตามันอยู่บ้าง มือใหญ่เรียวยาวใช้ช้อนกดตัดหัวกุ้งแม่น้ำออก มันกุ้งสีส้มอมแดงไหลทะลักออกมาส่งกลิ่นหอมมันน่าทาน ชายหนุ่มแกะเปลือกตามตัวกุ้งออกอย่างเก้ๆ กังๆ และไม่ยอมให้ใครช่วยแกะเด็ดขาด ถึงจะแกะเองอยู่นานแต่สุดท้ายเขาก็ได้ทานเนื้อกุ้งอวบๆ ร้อนๆ สมใจ
“เสียดายยายเต็มไม่อยู่กินมื้อเย็นกับเรานะแม่ฟ้า” กันต์ชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศบนโต๊ะเงียบเกินไป
เอาอีกแล้ว ชื่อนี้อีกแล้ว
“ใครเหรอ…ครับ” ชายหนุ่มลูกเสี้ยวเอ่ยถามออกไปและเกือบจะลืมใส่หางเสียงอีกตามเคย
“ก็เต็มเดือนไงจ๊ะตาเอ็ม” นภาตอบคำถามพลางมองใบหน้ารกครึ้มของหลานชายนิ่งนาน แต่สิ่งที่หญิงชราได้กลับมามีเพียงแค่ความเงียบและสีหน้าที่ฉงนงงงวยมากกว่าเดิมของเอ็มมานูเอล
“คงจะจำไม่ได้จริงๆ สินะ” หญิงชรารำพึงออกมากับตัวเอง น้ำเสียงคล้ายกับว่าผิดหวัง จนทำให้เอ็มมานูเอลต้องพูดแก้ตัวออกไป
“ยาย ไม่ใช่ความผิดผมเสียหน่อยที่จำใครที่นี่ไม่ได้เลย ครั้งสุดท้ายที่ผมมาประเทศไทยก็ตอนผมสัก…สิบเอ็ดขวบได้มั้ง” พอพูดจบชายหนุ่มก็อดประทับใจตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ลืมภาษาบ้านเกิดของแม่ไปซะทีเดียว แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก ปกติเจอกับละอองดาวผู้เป็นแม่ทีไร แม่ก็มักพูดไทยกับเอ็มมานูเอลเสมอ บางทีภาษาไทยมันคงฝังลึกอยู่ในสมองของเขามานานแล้ว แต่แค่ไม่ค่อยได้มีโอกาสแงะออกมาใช้เท่านั้นเอง
“สิบเอ็ดขวบแกก็ตัวโตเป็นหนุ่มแล้วนะ แต่เอาเถอะ ถ้าแกจำไม่ได้ ฉันก็จะแนะนำให้แกรู้จักใหม่อีกครั้ง เด็กนั่นน่ะชื่อเต็มเดือน เป็นหลานสาวของเพื่อนสนิทฉันเอง” กันต์เป็นคนตอบคำถามของเอ็มมานูเอลในที่สุดเมื่อเห็นว่าคนเป็นหลานชายจำอะไรไม่ได้จริงๆ
“แล้ว…เขาเกี่ยวอะไรกับบ้านเราเหรอครับ”
“ก็แค่ฉันกับปู่ของยายเต็มสนิทกันมาก ก็ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ นั่นแหละ”
“แต่ตาดูสนิทกับเด็กคนนั้นมากเลยนะ อย่างกับเป็นหลานแท้ๆ อย่างนั้นแหละ”
“ทำไม อิจฉารึ!” ชายชราที่ดูหนุ่มกว่าอายุจริงถามเสียงกลั้วหัวเราะ
เอาล่ะสิ ไอ้หลานตัวโตวัยเบญจเพสมันน้อยใจตากับยายที่สนใจเด็กอายุสิบเก้ามากกว่ามันที่เป็นหลานแท้ๆ
“ไม่! ก็ไม่ใช่ญาติ เลยสงสัยว่าสนิทอะไรขนาดนั้น” ชายหนุ่มแก้มร้อนวูบ รู้สึกขายขี้หน้านิดๆ ที่ทำตัวเหมือนเด็กขี้อิจฉา
“ตากับยายเอ็นดูยายเต็มมากก็เพราะปู่ของแกชอบเอาแกมาฝากไว้ให้บ้านเราดูแลตั้งแต่เด็กน่ะจ้ะ” นภาตอบยิ้มๆ ก่อนที่สีหน้าของหญิงชราจะฉายแววเศร้าสร้อยขึ้นมาแทนเมื่อพูดประโยคต่อไป “จริงๆ แล้วปู่ของยายเต็มเพิ่งจะเสียไปไม่นานด้วย นี่ก็เพิ่งจะผ่านวันเผามาได้อาทิตย์เดียวเอง”
“เด็กคนนั้นไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้วหรือครับ” เขาถามต่ออย่างสงสัยใคร่รู้
“มีสิ ฉันแค่เอ็นดูยายเต็มเพราะเหตุผลหลายๆ อย่างน่ะ” กันต์ตอบเสียงเรียบ
“เช่น?”
กันต์ยิ้มอ่อนๆ ให้หลานชายก่อนจะตอบออกไปว่า “ก็เช่นว่าฉันหมายตัวยายเต็มไว้ให้แต่งงานกับแกไงไอ้หลานชาย”
ติดตามตอนต่อไปได้วันที่ 29 พ.ค. 62