บทที่ 4
Nothing’s Changed
เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน
ประโยคนี้ยังคงใช้ได้จริงไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปกี่ร้อยกี่พันปี
ดูเอาเถอะ! ขนาดเด็กน้อยกำสีเทียนในวันนั้น แม่ตุ๊กตานุ่มนิ่มที่ใครๆ ก็รักและเอ็นดู มาวันนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงหิวเงินไปเสียแล้ว! แต่ละคำที่เธอพูดออกมา มีแต่คำว่าเงิน เงิน และก็เงิน เธอยอมทิ้งศักดิ์ศรีตัวเอง ยอมผูกมัดตัวเองกับผู้ชายคนไหนก็ได้เพราะแค่ต้องการเงินเท่านั้นเหรอ!
เขาผิดหวังมาก โคตรจะผิดหวัง!
อย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมแต่งผู้หญิงแบบนี้มาเป็นคู่ชีวิต!
เอ็มมานูเอลนั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในห้องของตัวเอง บนเตียงขนาดห้าฟุตเกลื่อนไปด้วยรูปถ่ายจำนวนมากที่ถูกแกะออกมาจากอัลบั้มฉลุลายลูกไม้สีครีมเล่มเดิมที่ชายหนุ่มยังไม่ได้เอาไปคืน รูปที่บันทึกความทรงจำวัยเด็กของเขากับเต็มเดือนเอาไว้มากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว ในมือใหญ่แข็งแรงคือรูปตัวเขาเองในวัยสิบเอ็ดขวบกำลังนอนตะแคงข้าง โดยอาศัยมือข้างหนึ่งยันตัวเอาไว้เพื่อให้เด็กชายเอ็มมานูเอลได้มองหน้าเด็กหญิงเต็มเดือนซึ่งกำลังนอนกลางวันอยู่บนเบาะนอนสีชมพูได้ถนัดตา
เขาอยากจะฉีกรูปพวกนี้ทิ้งแล้วเอาไปเผาไฟให้หมด แต่ส่วนลึกในใจกลับเสียดาย
เอ็มมานูเอลเสียดายความทรงจำที่เขากับเต็มเดือนเคยมีด้วยกัน ต่อให้ตอนนี้จะไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ชอบช่วงเวลาที่พวกเขายังเป็นเด็ก ไร้เดียงสา ไม่มีเรื่องซับซ้อนอะไรเข้ามาให้ปวดหัววุ่นวาย เป็นแค่เด็กผู้ชายซนๆ กับเด็กผู้หญิงเงียบๆ ที่ชอบใช้เวลาไปกับการดูการ์ตูนและวาดรูปเท่านั้น
เขาอยากให้เต็มเดือนเป็นแบบเดิม เป็นแบบเด็กผู้หญิงในรูปพวกนี้ แต่ความจริงก็เจ็บปวดเสมอ เพราะคงไม่มีทางไหนที่จะพาเด็กคนนั้นกลับมาได้แล้ว
เอ็มมานูเอลโกยรูปทั้งหมดที่ถูกแกะออกมาวางกองสุมกันเอาไว้อย่างชุ่ยๆ ในสมุดอัลบั้มไปก่อน มือใหญ่เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาก็เห็นว่าเกือบจะสองทุ่มแล้ว หลังจากที่ชายหนุ่มเดินหนีเต็มเดือนมาเมื่อตอนหัวค่ำ เขาก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องตัวเอง ไม่กลับออกไปกินข้าวแม้ว่าแขกสามคนจะกลับไปแล้วก็ตาม ในหัวคิดสะระตะวุ่นวายไปหมดแล้วก็หงุดหงิดอย่างหาคำมาบรรยายไม่ได้ด้วย
สามสี่ปีมานี้เอ็มมานูเอลมักไปผ่อนคลายความหงุดหงิดเอากับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่แล้วก็ปาร์ตี้ ซึ่งชายหนุ่มก็เพิ่งมานึกขึ้นได้เอาวินาทีนี้เองว่าเขากำลังอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวกลางคืนเยอะแยะมากมายให้เลือกสรรเอาตามใจชอบ อีกอย่างไม่มีใครหน้าไหนบอกสื่อด้วยว่าตอนนี้นักร้องดังหลบไปพักงานอยู่ที่ไหน มีแต่ครอบครัวของเขากับสมาชิกในวงเท่านั้นที่รู้ ส่วนเจ้าของค่ายเพลงอย่างมาร์ค โบนส์ก็ไม่ได้คิดจะสนใจไยดีอะไรอยู่แล้วว่าไอ้ตัวปัญหาอย่างเอ็มมานูเอลจะไปตายที่ไหน
ถ้าเขาจะไปเที่ยวพักผ่อนตามประสาคนรักสนุกเงียบๆ เสียบ้างจะเป็นไรไป ทางค่ายก็แค่ไม่ให้ทำงานออกสื่อร่วมกับวงเท่านั้นนี่นา ใส่หมวกหน่อยก็ไม่มีคนจำได้หรอก นี่ก็มืดแล้ว ในผับก็ยิ่งมืดใหญ่ หนวดเคราที่ไม่ได้โกนกับผมยาวๆ นี่อีก มองเผินๆ เอ็มมานูเอลก็ไม่ต่างจากฝรั่งแบ็กแพ็กเกอร์ทั่วไปตามท้องถนนเลย
เมื่อตัดสินใจแล้วชายหนุ่มก็ผลุนผลันลุกขึ้นจากเตียง วิ่งเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดสีเทาดำสกรีนคำว่า Weird ที่พับใส่กระเป๋าเป้มาจากอเมริกากับกางเกงยีนรัดรูปพอดีตัวสีดำ เมื่อแต่งตัวแบบง่ายๆ เสร็จแล้วก็คว้ากระเป๋าเงินหนังแท้สีน้ำตาลจาก Guy Laroche พาสปอร์ต และโทรศัพท์มือถือมาใส่กระเป๋าพร้อมกับสวมหมวกแก๊ปสีดำใบโปรดที่นำติดตัวมาด้วย เตรียมตัวออกจากบ้านไปตะลอนราตรีอย่างเต็มที่
เอ็มมานูเอลไม่ลืมที่จะส่งข้อความไปหาละอองดาวที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งว่าเขาต้องการเปลี่ยนโปรแกรมพักงานจากไทยไปอยู่ฝรั่งเศส ชายหนุ่มส่งข้อความไปในทำนองว่า เขาไปอยู่นีซคนเดียวจะสบายใจมากกว่า ขอให้แม่ช่วยติดต่อคนดูแลบ้านให้ทำความสะอาดรอไว้ด้วย แล้วเขาจะรีบจองตั๋วไปฝรั่งเศสให้เร็วที่สุด ส่งไปแค่นั้นร่างสูงโปร่งก็ก้าวออกจากห้องนอน เดินปึงปังตัดผ่านเรือนส่วนกลางไปยังประตูทางออกของเรือนที่มีบันไดสูงทอดลงไปยังพื้นหินกรวดด้านล่าง
กันต์และนภาที่ยังไม่เข้านอนเห็นหลานชายจะออกไปข้างนอกกลางค่ำกลางคืนก็ลุกขึ้นเดินตาม พลางตะโกนถามอย่างเป็นห่วงว่าจะออกไปไหน
“ผมจะไปเที่ยว! วันนี้ผมเจอเรื่องบ้าๆ มามากพอแล้ว” เอ็มมานูเอลตอบด้วยน้ำเสียงเจืออารมณ์หงุดหงิด เขาเปิดประตูเรือน ก้าวลงบันไดไป ก่อนจะโยนรองเท้าผ้าใบสีดำคู่เก่งราคาแพงลงไปบนพื้น เดินเหยียบส้นรองเท้าก้าวออกไปตามทางเดินสีขาวที่ทอดยาวไปยังประตูรั้วไม้ระแนงที่มีพุ่มดอกเฟื่องฟ้าเลื้อยปกคลุมอยู่
“เอ็ม! นี่มันดึกแล้วนะ จะไปไหนคนเดียวได้ยังไง!” กันต์ตะโกนไล่หลังมาติดๆ น้ำเสียงเอาเรื่องไม่แพ้กันเพราะพานหงุดหงิดมาตั้งแต่ตอนรับประทานมื้อเย็นกับครอบครัวเต็มเดือนแล้ว
ชายหนุ่มหันกลับมาตะคอกใส่ผู้เป็นตาเสียงแข็ง
“ผมไม่ได้อายุสิบห้านะ!!!” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะกระชากประตูเล็กเปิดแล้วปิดดังโครม ลูกเสี้ยวสามเชื้อชาติก้าวฉับๆ อย่างรวดเร็วตามแต่ขายาวๆ ของตนเองจะพาไป โชคดีที่ไม่นานก็มีแท็กซี่ว่างขับผ่านมาพอดี เขาเลยไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเรียกรถที่ถนนใหญ่ให้เมื่อยขา
เอ็มมานูเอลเลือกเข้าร้านที่มีคนเข้าเยอะมากที่สุด อาศัยหลักการง่ายๆ ในการตัดสินใจว่าร้านไหนคนเข้าเยอะ แสดงว่าร้านนั้นคงเปิดดนตรีสนุกและบริการดีจริง อีกอย่างยิ่งคนเยอะก็ยิ่งดี เขาจะได้แฝงตัวเข้าไปได้ง่ายและคนก็จะไม่ค่อยสนใจกันมากเท่าไหร่นอกจากคนที่มาด้วยกันจริงๆ เท่านั้น
ชายหนุ่มโชคดีที่ได้จับจองที่นั่งเป็นโต๊ะพร้อมเก้าอี้นวมนั่งสบายในมุมลับสายตามุมหนึ่งของร้าน กว่าเขาจะมาถึงย่านเที่ยวก็สามทุ่มกว่าๆ เข้าไปแล้ว เอ็มมานูเอลสั่งเบียร์โฮการ์เด้นมาประเดิมก่อน รอให้ตัวอุ่นๆ ร้อนๆ ได้ที่เมื่อไหร่เขาถึงจะค่อยๆ ขยับดีกรีไปทีละขั้นตามที่ชอบดื่มแบบนี้จนเป็นนิสัย
มือแกร่งถือแก้วเบียร์ขนาดใหญ่ขึ้นดื่มทีละอึกอย่างไม่รีบร้อน คืนนี้ยังอีกยาวไกล เขาขอแค่ได้นั่งทอดอารมณ์ ฟังเพลงและกินเหล้าให้ลืมเรื่องต่างๆ ในวันนี้ไปก็พอ
“ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นแข่งกับเสียงดนตรีอันดังกระหึ่ม หล่อนพูดกับเอ็มมานูเอลเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งหู
หล่อนเป็นหญิงสาวตัวสูงผอมบาง ผิวสีแทนเนียนไปทั้งเนื้อทั้งตัว ใบหน้าคมคายมีเสน่ห์แต่งหน้าเข้มขับเน้นดวงตา จมูก และริมฝีปากให้โดดเด่นขึ้นไปอีกสิบเท่า เส้นผมสีดำหนายาวทิ้งตัวไปตามลาดไหล่บอบบาง
ถ้าฟรานซิสมาเห็นคงระริกระรี้จนตัวสั่นน่าดู เพราะนี่แหละสเตอริโอไทป์สาวไทยที่มันพร่ำเพ้อถึง
เอ็มมานูเอลผายมือเป็นเชิงอนุญาต ทว่าแทนที่หญิงสาวจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ หล่อนกลับทิ้งก้นงอนงามภายใต้กางเกงยีนฟอกขาสั้นของตัวเองลงบนตักของเขาอย่างหน้าตาเฉย
อืม…ชัดเจนดี
“มาคนเดียวเหรอคะ” สาวสวยชวนคุยทันทีอย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากที่หล่อนโบกมือเรียกพนักงานมาเพื่อสั่งเครื่องดื่มของตัวเองเรียบร้อย
“ก็แล้วเห็นมีคนอื่นหรือเปล่าล่ะ” เอ็มมานูเอลตอบกลับอย่างกวนประสาท
“แหม…ก็ถามเผื่อไว้ ถ้าเกิดคุณมีแฟนแล้วแฟนคุณมาเห็นเข้า ฉันก็ตายสิ”
ชายหนุ่มกลอกตาอย่างไร้ความเห็นจะตอบโต้
จริงๆ เอ็มมานูเอลก็ไม่ได้อยากได้ใครมาควงในคืนนี้นักหรอก เขาแค่อยากเมา อยากอยู่ในบรรยากาศมืดๆ เพลงดังๆ พร้อมกับเหล้าในมือแค่นั้นเพราะชินกับการผ่อนคลายแบบนี้มานานจนเคยตัว ทว่าผู้หญิงคนนี้ก็ดันเสนอตัวมานั่งตักเขาเสียเอง
แต่ก็เอาเถอะ มีสาวสวยตัวหอมๆ มานั่งตักและคุยเล่นก็แก้เบื่อดีเหมือนกัน แต่จะไปต่อกับเจ้าหล่อนถึงไหนๆ ในคืนนี้ไหมค่อยว่ากันอีกที
ขอดูอารมณ์ตัวเองก่อน
“คุณหน้าตาคุ้นมากเลยนะคะ ฉันมองอยู่ตั้งนานแต่ตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออก”
“ทำไม ผมหน้าเหมือนดาราเหรอ” ถามเหมือนหยอกเล่นแต่ในใจจริงๆ นั้นชายหนุ่มอดจะหวาดระแวงขึ้นมาไม่ได้
“ค่ะ แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าหน้าเหมือนใครกันแน่ ว่าแต่เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนี่นา ฉันชื่อเมย์นะคะ”
เอ็มมานูเอลยอมจับมือหญิงสาวบนตักตามการทักทายแบบสากลก่อนจะแนะนำตัวเองกลับไป “ผมชื่อธนิษฐ์”
“ธนิษฐ์เหรอคะ” เมย์ถามอย่างสงสัยเมื่อชายหนุ่มไม่ได้มีชื่อว่าจอห์นหรือปีเตอร์แบบที่เธอนึกเดาเอาไว้
“แม่ผมเป็นคนไทยน่ะ แม่ไม่ยอมให้ผมใช้ชื่อภาษาอังกฤษ ผมก็เลยได้ชื่อธนิษฐ์มา” ชายหนุ่มโกหกเป็นเรื่องเป็นราวอย่างลื่นไหล เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้ชื่อ ‘ธนิษฐ์’ ปิดบังตัวตน อันที่จริงเอ็มมานูเอลก็ไม่ได้โกหกไปเสียทั้งหมดหรอก เพราะไม่ว่าจะเอ็มมานูเอลหรือว่าธนิษฐ์ สองชื่อนี้ก็เป็นชื่อของเขาจริงๆ ทั้งคู่นั่นแหละ
หากเป็นแฟนคลับตัวจริงเสียงจริงล่ะก็ พวกเขาจะรู้ดีว่าเอ็มมานูเอลมีชื่อเต็มๆ ในบัตรประชาชนที่ยาวมากว่า ‘เอ็มมานูเอล ธนิษฐ์ กฤติกร โคลม’ มันยาวเสียจนชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของชื่อยังขี้เกียจจะจำ และเขาก็ไม่เคยคิดจะแนะนำตัวเองเต็มๆ แบบนั้นเลยสักครั้ง เพราะมันคงจะดูน่าหมั่นไส้ดีพิลึก บางครั้งก็เคยมีคนมาถามเอ็มมานูเอลเหมือนกันว่าชื่อยาวขนาดนี้เขาเป็นเชื้อพระวงศ์มาจากยุโรปทางไหนหรือเปล่าซึ่งมันฟังดูตลกเป็นบ้า
ที่มาของชื่อยาวๆ พวกนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ทีแรกชายหนุ่มจะได้ชื่อ ‘เอ็มมานูเอล ธนิษฐ์ โคลม’ เฉยๆ ด้วยซ้ำ ตามธรรมดาของคนอเมริกันหรือคนยุโรปทั่วๆ ไปที่จะมีชื่อกลาง ละอองดาวให้ชื่อธนิษฐ์เขามาเพื่อแสดงให้เห็นว่าในตัวของชายหนุ่มมีสายเลือดไทยจากแม่อยู่ครึ่งหนึ่ง แต่กันต์เป็นคนดันทุรังจะให้เอานามสกุลกฤติกรมาเป็นชื่อของหลานชายด้วยอีกชื่อหนึ่งให้ได้ ชายชรานั้นไม่ชอบขี้หน้าอองตวนผู้เป็นลูกเขยเอามากๆ แต่ก็ไม่สามารถกีดกันความรักของหนุ่มสาวได้ สุดท้ายละอองดาวก็ดื้อรั้นแต่งงานไปกับ ‘ไอ้ฝรั่ง’ ที่กันต์ชังน้ำหน้าได้สำเร็จ พอมีหลานชายกับเขาคนหนึ่ง กันต์ กฤติกร ผู้ชอบเอาชนะและกัดไม่ปล่อยก็ทู่ซี้จนสามารถเอานามสกุลของตนมาใส่ไว้เป็นหนึ่งในชื่อกลางให้หลานชายได้สำเร็จ นับเป็นการแก้แค้นลูกเขยตาน้ำข้าวแบบพอหอมปากหอมคอ
‘หลานฉันจะได้ไม่ลืมว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของกฤติกร’ ผู้เป็นตาเคยว่าไว้อย่างนั้น
“แล้วคุณพูดไทยได้ไหมคะ” เมย์ยังคงชวน ‘ธนิษฐ์’ คุยต่อไป พลางเอนลำตัวบอบบางของเธอซบไปกับแผงอกกว้างแข็งแรงของชายหนุ่ม
“ไม่ได้ครับ ไปอยู่อเมริกาเกือบยี่สิบปี เพิ่งได้กลับมาไทยก็วันนี้” ชายหนุ่มยังคงโกหกหน้าตายต่อไป
“เสียดายจัง ฉันพอพูดอังกฤษได้นะคะ แต่ไม่คล่องเท่าเจ้าของภาษาเท่าไหร่”
เขาเออออคุยตอบตามน้ำไปเรื่อย หลักๆ แล้วมีแต่ ‘เมย์’ ที่พูดจ้อเป็นต่อยหอยอยู่คนเดียว ขนาดหล่อนบอกว่าพูดไม่คล่องนะเนี่ย ส่วนชายหนุ่มนั้นก็ได้แต่ดื่มเบียร์และสั่งเครื่องดื่มให้แรงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามที่ตนตั้งใจเอาไว้ ด้านหญิงสาวบนตักก็เริ่มเมาบ้างแล้วเหมือนกันเพราะเจ้าหล่อนเริ่มจะทำตัวไร้กระดูกเข้าไปทุกที เอ็มมานูเอลเลยได้แต่นั่งเป็นเบาะรองให้เธอหนุนและแทะโลมแบบสมยอมนิดหน่อย
ก็เขาเป็นผู้ชาย โดนหอมโดนดมซอกคอแบบนี้แล้วไม่รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เลย ถ้าไม่ใช่พระก็รูปปั้นแล้วล่ะ
“คืนนี้คุณพักที่ไหนคะ ไปห้องฉันไหม” เสียงลอยๆ ของเมย์ดังขึ้นข้างหูของชายหนุ่มที่หล่อนหมายตาเอาไว้
หล่อนถูกใจเขามาก ตัวสูง ผมยาว ตาคมดุ หนวดเคราครึ้มคมเข้ม ดูดิบและเถื่อนอย่างเร้าใจ หล่อนดื่มย้อมใจไปตั้งไม่รู้กี่แก้วกว่าจะใจกล้าเข้าไปคุยและนั่งตักเขาได้แบบนี้
คนโดนชวนไปค้างคืนนั่งเงียบ ไม่ตอบคำถามแต่ก็สมยอมให้หญิงสาวแทะโลมต่อได้ตามสบายเพราะตัวเองก็กำลังเคลิ้มได้ที่เช่นกัน
บางที…เขาอาจจะยอมไปต่อกับเธอคนนี้ ไม่รู้สิ…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไปต่อให้สุดทางเลยดีกว่า แต่ก่อนที่เอ็มมานูเอลจะเอ่ยปากตกลง โสตประสาทของชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเพลงที่ตัวเขานั้นจดจำได้ขึ้นใจ
Tonight, I’m living on my own
Cause you leave me here alone
Far F ar away from LA
You went back to New York your home
เพลง ‘Above the Sky’ เพลงจากอัลบั้มแรกของวงสตาร์ส แทรป มันเป็นเพลงที่ถือว่าดังที่สุดและเป็นที่น่าจดจำที่สุดของวงก็ว่าได้ เนื่องจากเพลงนี้ทำรายได้ถล่มทลายและครองอันดับหนึ่งทุกหน้าปัดวิทยุและยอดชมมิวสิกวิดีโอบนยูทูบที่ทะลุถึงร้อยล้านครั้งได้อย่างรวดเร็วเป็นประวัติกาล
เอ็มมานูเอลยังจำได้ดีว่าตัวเองนั้นดีใจแค่ไหนที่เพลงนี้ได้อันดับหนึ่งจากทุกๆ ชาร์ตของรายการวิทยุ เขาในตอนนั้นที่อายุยังน้อยคิดว่านี่คงเป็นก้าวสำคัญของอาชีพนักร้องนักดนตรีของเขา แม้ว่าการฟอร์มวงบอยแบนด์จะไม่ใช่ความฝันของเขาตั้งแต่แรกก็ตาม แต่ความสำเร็จในก้าวแรกนี้ก็ทำให้เอ็มมานูเอลอดคิดไม่ได้ว่าการที่เขายอมทะเลาะกับพ่อ หนีออกมาตามหาความฝันตั้งแต่อายุสิบแปดนั้น เขาเลือกไม่ผิดจริงๆ
I see your face in the sky above
I wish you were here, that’s all I hope
ช่วงเวลาในปีแรกๆ นั้นชายหนุ่มทำงานหนักมาก แต่เขาก็สนุกกับการเป็นสตาร์ส แทรปไปกับฟรานซิส ธีโอ และแบรดลีย์ พร้อมกับฝันว่าต่อให้ไม่ได้เป็นนักร้องเดี่ยวแต่อย่างน้อยก็ขอสักอัลบั้มให้เขาได้มีส่วนร่วมในการแต่งเพลงสักเพลงเองบ้าง เพราะนั่นคือความฝันอันยิ่งใหญ่ของเขา เขาไม่หวงที่จะต้องแบ่งท่อนร้องกับเพื่อนๆ ในวงเลยสักนิด เขาแค่อยากให้มีชื่อ ‘เอ็มมานูเอล ธนิษฐ์ เค… โคลม’ อยู่ในเครดิตนักแต่งเพลงบ้างก็เท่านั้น
เขาได้แต่รอ รอจนถึงปีที่เจ็ดของวงสตาร์ส แทรปแล้วแต่ก็ไม่เคยได้รับโอกาสที่ฝันถึงสักที
“ว่าไงคะ จะไปห้องฉันไหม หรือจะให้ไปห้องคุณดี”
เอ็มมานูเอลวางแก้วว่างเปล่าในมือลง “ลงไป”
“อะไรนะคะ” หญิงสาวทำหน้างง ไม่แน่ใจว่าตนได้ยินถูกแล้วหรือไม่
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ลงไปซะที”
“โธ่! ทำไมล่ะคะ ฉันทำอะไรผิดเหรอ”
“อย่าให้ต้องผลักนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเตือน ดวงตาสีน้ำตาลนั้นดุเอาเรื่องเสียจนคนบนตักเสียวสันหลังวาบ ร่างบางที่สั่นเทาเล็กน้อยรีบลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เอ็มมานูเอลมองตามหลังหล่อนไปก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ โล่งใจที่ได้อยู่คนเดียวเสียที
ต้องโทษดีเจที่ดันมาเปิดเพลงของวงสตาร์ส แทรปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ ชายหนุ่มหงุดหงิดจนพานเบื่อหน่ายและหมดอารมณ์ไปทันตาเห็น อีกอย่างขืนเขาอยู่กับผู้หญิงคนนั้นนานกว่านี้ขณะที่เพลงของวงตัวเองกำลังเล่นอยู่ล่ะก็ เผลอๆ หล่อนอาจจะจำหน้าเขาขึ้นมาได้ก็ได้
เวลาที่เหลือในคืนนั้นเอ็มมานูเอลได้แต่นั่งนิ่งๆ ฟังเพลงที่เป็นหนึ่งในผลงานของตัวเองไปตามลำพัง นึกถึงอดีตและความรุ่งโรจน์ของวงสตาร์ส แทรปในเจ็ดปีที่ผ่านมากับความฝันของเขาที่ค่อยๆ หรี่แสงลงไปทุกปีๆ เช่นกัน
เขาเบื่อ…
เขาอยากเลิกร้องเพลง
เจ็ดปีที่รอคนให้โอกาสนั้นช่างว่างเปล่า ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือดีขึ้นสักอย่าง
เหมือนทุกอย่างที่ผ่านมาไม่มีความหมายอะไรเลย
ติดตามตอนต่อไปได้วันที่ 12 มิ.ย. 62
Comments
comments