LOVE
ทดลองอ่าน ขอชิมสักคำ… ได้ไหมคนดี ชุด ขอได้ไหม บทที่ 2
อันที่จริงปาลก็พอทราบแต่แรกแล้วว่าเรื่องอาจดำเนินมาถึงจุดนี้ ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวเก็บเงินไว้ นอกจากเงินค่าขนมแล้วก็แอบไปทำงานพิเศษหารายได้เพิ่มแทนการไปเรียนพิเศษตามที่พ่อแม่สั่งด้วย แต่อย่างไรเงินที่เก็บได้ก็ไม่ได้มากมาย การหนีออกจากบ้านถือว่าบ้าบิ่นทีเดียว เขารู้ดีทว่าก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ
การออกจากบ้านนั้นลำบากอย่างที่เขาคาดเอาไว้ แต่เขาก็สู้ไม่ถอย พ่อแม่ตามหาเขาจนเจอ ตอนแรกเขาคิดว่าพวกท่านอาจพอเข้าใจความมุ่งมั่นจริงจังของเขาบ้าง แต่เรื่องกลับตรงกันข้าม พวกท่านด่าทอเขาใหญ่โต สุดท้ายก็ลุกลามเป็นการทะเลาะแตกหัก ถึงขั้นประกาศตัดขาด
ปาลเสียใจ ทว่าเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจ เพราะคิดว่าไม่สามารถใช้ชีวิตตามเส้นทางที่พ่อแม่ขีดให้ได้จริงๆ…ชีวิตช่วงนั้นของเขายากลำบากมากกับการทำงานตามร้านอาหารเพื่อเรียนรู้ไต่เต้า ต้องเริ่มตั้งแต่งานจำพวกกรรมกรแบกของ ทั้งโดนเอาเปรียบโดนกดขี่สารพัด แต่เขาก็อดทนเพื่อเรียนรู้ทุกอย่าง ระหว่างนั้นป้องปราณซึ่งเรียนใกล้จบมหาวิทยาลัยก็แอบมาหาเขาเพื่อเสนอความช่วยเหลือ ตอนแรกเขาไม่ยอมรับเนื่องจากคำปรามาสของพ่อแม่ ทว่าสุดท้ายพี่ชายก็เอาเงินไปจ่ายค่าห้องเช่าให้เขาจนได้และบอกว่าเมื่อไหร่ที่เขาตั้งตัวได้ค่อยใช้คืน ที่สุดแล้วเขาจึงยอมรับความช่วยเหลือและแอบติดต่อกับพี่ชายมาเรื่อยๆ
หลังจากออกจากบ้านราวสองปี ปาลโชคดีได้ทำงานกับซามูแอลเชฟชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงซึ่งมาเปิดร้านอาหารในไทย อีกฝ่ายชื่นชมความมุ่งมั่นของเขาเลย ‘ปั้น’ เขาอย่างจริงจัง เขาได้เรียนรู้ทั้งการทำอาหารและภาษาฝรั่งเศสควบคู่กันไป จวบจนไต่เต้าได้ขึ้นมาเป็นเชฟเดอปาร์ตี ช่วงนั้นซามูแอลมีแผนจะย้ายจากเมืองไทยไปสิงคโปร์ตามคำชวนของเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง อีกฝ่ายเลยถามเขาว่าอยากไปด้วยไหม เขาตอบรับแบบไม่ต้องคิดเลยทีเดียว เพราะถึงซามูแอลจะเป็นเชฟที่ปากร้ายและเข้มงวด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่หวงวิชา นอกเวลางานก็เอ็นดูเขาเหมือนลูกหลาน
เมื่อย้ายไปสิงคโปร์ปาลก็ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองอย่างแท้จริง แม้จะไม่ไกลจากไทยมากแต่ก็ไม่มีญาติพี่น้องอาศัยอยู่ที่นั่น มีแค่ไม่กี่คนที่ทราบว่าเขาย้ายไปสิงคโปร์และแวะไปเยี่ยมกันตอนไปเที่ยวหรือทำงาน แต่เขาก็ไม่มีเวลาเหงาด้วยซ้ำ เขาทำงานหกวัน วันหยุดหนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์ส่วนใหญ่ก็ยังใช้เวลาไปกับการศึกษาเรื่องอาหาร น้อยนักที่เขาจะพักผ่อนหรือเที่ยวเล่น
หลังจากอยู่ที่สิงคโปร์ได้สามปีปาลก็ได้ก้าวขึ้นเป็นเชฟเดอคูซีน หรือหัวหน้าครัวร้อนของหนึ่งในสองร้านอาหารในสิงคโปร์ของซามูแอล ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่ผ่านไปไม่ถึงปีซามูแอลก็ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง เขาตัดสินใจจะกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิด แต่ก่อนหน้านั้นก็เข้ารักษาตัวเบื้องต้นที่สิงคโปร์เพื่อจะได้จัดแจงตระเตรียมชายหนุ่มให้พร้อมที่สุดสำหรับการดูแลร้านอาหารในวันที่เจ้าของตัวจริงอยู่ไกล
พูดตามจริง หลังจากซามูแอลกลับฝรั่งเศสแล้ว ปาลก็มีสภาพคล้ายเชฟใหญ่ของร้านที่ตนเองดูแลอยู่ดีๆ นี่เอง เพราะอีกฝ่ายต้องเข้ารักษาโรคมะเร็ง มีบางช่วงที่อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ถึงมีช่วงที่แข็งแรงซามูแอลก็ไม่ได้พยายามเข้ามาบริหารร้านอาหารอีก แต่อย่างไรทั้งปาลและเชฟเดอคูซีนของอีกร้านก็ยังยึดถือให้เกียรติซามูแอลในฐานะเชฟใหญ่เช่นเดิม
ปาลเดินทางไปเยี่ยมซามูแอลที่ฝรั่งเศส อีกฝ่ายผ่ายผอมผิดหูผิดตาทว่าก็ดูมีความสุขดี ก่อนจะแยกกันเชฟซึ่งเขาเคารพรักเหมือนพ่ออีกคนก็เปรยเอาไว้
‘อันที่จริงการรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งอาจเป็นโชคดี อย่างน้อยผมก็ไม่ได้จากไปกะทันหันโดยไม่ได้ล่ำลาใคร…อันที่จริงตอนนี้ผมก็ยังมีแรงทำงานนะ แต่ผมติดค้างครอบครัวของผมที่จากไปทำตามความฝันของตัวเอง ถ้าไม่ได้ชดใช้ผมคงนอนตายตาไม่หลับ’
ชายหนุ่มเก็บคำพูดของซามูแอลมาคิดตลอดการเดินทางกลับสิงคโปร์ และเมื่อพิจารณาว่าเขาเองก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควรแล้วในโลกของเชฟ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับบ้านที่เมืองไทย โดยหวังว่าพ่อแม่จะยอมรับเสียทีว่าเขาสามารถเป็นเชฟได้ ผิดจากที่พวกท่านตราหน้าเขาเอาไว้ว่าไม่มีทางประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตามปาลค้นพบอย่างรวดเร็วว่าตนเองมองโลกในแง่ดีเกินไป พ่อแม่ไล่เขาออกจากบ้านอย่างกับหมูกับหมา และมันก็ไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรยด้วย…แน่นอนว่าเขาเสียใจและผิดหวัง แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก คราวนี้เขาเลยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และบอกกับตัวเองง่ายๆ ว่าครอบครัวของเขาคือคนที่นับเขาเป็นครอบครัว อย่างป้องปราณซึ่งสนับสนุนเขาเสมอก็คือพี่ชายที่เขารัก กระทั่งญาติๆ หลายคนที่ยังติดต่อกันไม่ห่างหายไปไหนก็เช่นกัน ส่วนชวิศกับผ่องพรรณคงได้แต่ยกไว้ในฐานะผู้ให้กำเนิด…แค่นั้น
หลังออกจากไทยครั้งนั้นเมื่อสี่ปีก่อนเขาก็ลองไปสมัครเป็นผู้พำนักถาวรของสิงคโปร์ดูแล้วเกิดได้ ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาไทยอีกเลย เพิ่งกลับมาครั้งนี้เอง เขาตัดสินใจตรงไปกรุงเทพฯ ก่อนเพราะถ้าจะจัดการเรื่องเอกสารราชการที่นั่นน่าจะสะดวกที่สุด แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้บอกใคร เพียงแต่เขาบังเอิญไปเจอหม่อมราชวงศ์ประภาภัทรซึ่งเป็นญาติทางแม่เท่านั้นเอง ญาติผู้นี้ก็เป็นอีกคนที่ดีกับเขา ด้วยความที่อีกฝ่ายทำธุรกิจห้างสรรพสินค้าและลงทุนในหลายประเทศทำให้ต้องเดินทางไปทั่ว ซึ่งพอคุณชายประภาภัทรเดินทางไปสิงคโปร์ทีไรก็นัดเจอเขาทุกคราวไป
ถึงตอนนี้ปาลยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะลงหลักปักฐานที่สิงคโปร์เลย จะย้ายกลับไทย หรือจะไปไหนต่อ ปัจจุบันเขาเป็นเชฟที่มีชื่อเสียงมากกว่าเดิม ถึงขั้นเปิดร้านอาหารและใช้ชื่อตัวเองการันตีได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงได้รับข้อเสนอดีๆ จากมุมอื่นของโลกมาเหมือนกัน พอดีคุยกับฌานแล้วมีไอเดียสนุกๆ เขาเลยเลือกมาลองที่สตูลก่อน
เดี๋ยวก็รู้เอง…ปาลไม่คิดมาก เขาผ่านเรื่องยากที่สุดในชีวิตมาแล้ว นั่นคือการก้าวออกจากบ้านตอนเรียนจบมัธยม หลังจากผ่านวันนั้นมาก็ไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับเขาอีกแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…