“คุณพอลก็น่ารักดีนะแก”
เสียงเพื่อนสนิทลอยมา ฟองจันทร์ซึ่งกำลังนั่งเคาะปากกามองหัวข้อที่มีเข้าข่ายน่าเอาไปเขียนบทความเลยหันไปมอง เธอพบว่าเพื่อนกำลังนั่งเล่นมือถืออยู่บนเตียง
“อะไรอีกล่ะ” สาวร่างเล็กกลอกตา
“ก็ไม่อะไร แสดงความเห็น แล้วก็อยากรู้ว่าแกเห็นด้วยไหม”
“อย่ามา…ฉันรู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ถึงชวนเขากินข้าวเย็นด้วยวันนี้”
“แล้วดีไหมล่ะ” ฐานิตลอยหน้าลอยตาถาม “ที่แกเจอเขาอีกหนนี่พรหมลิขิตชัดๆ เลยนะ”
“พรหมลิขิตหรือกรรมลิขิตเอาดีๆ ฉันเกือบโดนเขาขับรถชนแถมได้แผลเนี่ย” ฟองจันทร์พ่นลมหายใจเบาๆ
“แกก็ไม่ได้โดนชนจริงๆ เสียหน่อย แล้วแผลก็แค่เล็กน้อย พักนี้แกก็ได้แผลเบญจเพสเป็นปกติอยู่แล้วนี่”
“ถ้าที่ฉันซวยเป็นเพราะเบญจเพสจริง ฉันก็ไม่คิดว่าการได้เจอคุณพอลจะเป็นเรื่องดีหรอก” สาวร่างเล็กบอก
“แหม ใครจะไปรู้ แกอาจเจ็บตัวแล้วได้ผู้เป็นการชดเชยก็ได้” ฐานิตหัวเราะคิกคัก “แล้วนี่แกว่าเขาเป็นไงบ้างอ่ะ นอกจากหน้าตาดี ใจดี ฉันว่าโพรไฟล์เขาก็ดีด้วยนะ เป็นเชฟอยู่ที่สิงคโปร์ ไม่ธรรมดา”
เมื่อเย็นหลังจากชายหนุ่มตกปากรับคำว่าจะอยู่กินมื้อเย็นด้วย ระหว่างรอให้พิทักษ์กลับบ้าน ฐานิตก็จัดแจงช่วยพี่สาวแพ็กขนมใส่กล่องไปรษณีย์ตามออเดอร์ที่ได้รับทางออนไลน์ ฟองจันทร์ก็มาช่วยด้วย พอปาลเห็นก็มาเมียงๆ มองๆ อย่างสนใจ เพราะทั้งหมดล้วนเป็นขนมพื้นบ้านของสตูลที่เขาไม่เคยเห็น พอฐิตานันท์เห็นว่าเขาสนใจก็เลยจะให้ไปลองกิน แต่เขาปฏิเสธแล้วขอซื้อไปอย่างละกล่องแทน
ระหว่างกินข้าวเขาก็ชมอาหารไม่ขาดปากว่าอร่อยสมกับคำโฆษณา แล้วเขาเลยเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังว่าไปทำงานเชฟที่สิงคโปร์มาหลายปีแล้ว นอกไปจากนั้นส่วนใหญ่เขาก็คุยกับพิทักษ์เป็นหลักเพราะอีกฝ่ายทำงานเป็นไกด์นำเที่ยว ทำให้รู้จักแถวนี้ดี ท่าทางเขาสนใจเรื่องการไปจับหอยจับปลาตามฤดูกาลที่พิทักษ์เล่าให้ฟังมากด้วย
“ก็ดี” ฟองจันทร์ตอบสั้นๆ
“แค่นั้น?”
“แล้วแกจะให้มีแค่ไหน” นักเขียนสาวย้อนถามกลับ
“ฉันก็ไม่ได้จะให้แกจีบเขานะ แต่ฉันคิดว่าทำความรู้จักเขาดูก็ไม่เสียหาย แกยิ่งเบื่อๆ พี่อู๋อยู่ ถ้าเกิดไปได้ดีกับคุณพอล แกก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพี่อู๋อีกจริงป่ะ” ฐานิตทำหน้าเมื่อย
ฟองจันทร์ชะงักไปนิดหนึ่ง เพราะคำพูดของเพื่อนเตือนให้เธอย้อนคิดถึงคำอธิษฐานของตนเองที่บ่อเจ็ดลูก…แต่อย่างไรเธอก็เจอปาลก่อนจะไปอธิษฐาน ดังนั้นมันก็คงไม่เกี่ยวกันหรอกมั้ง
“ฉันก็ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเอง แต่ฉันแค่ไม่ได้คิดจะจีบเขาเท่านั้นแหละ” สาวร่างเล็กหันกลับมามองกระดาษบนโต๊ะเขียนหนังสือ “ส่วนตอนนี้ฉันห่วงเรื่องส่งงานมากกว่า เหมือนมีเรื่องให้เขียนเยอะแยะแต่ก็ไม่รู้จะเขียนอะไรซะงั้น”
งานเขียนของฟองจันทร์มีหลายแบบ มีทั้งคิดหัวข้อขึ้นมาเองแล้วเสนอไปให้ลูกค้าพิจารณา กับแบบที่มีเนื้อหามาให้เธอเรียบเรียงเป็นบทความ แบบหลังไม่ค่อยมีปัญหา แต่ที่ทำเธอปวดหัวคือแบบแรก หลายวันมานี้เธอไปนู่นมานี่และเก็บข้อมูลได้หลายเรื่อง ทว่าพอเอามาไล่เรียงดูกลับไม่สามารถรวบรวมกลั่นกรองมันให้เป็นบทความได้
“แกไม่ลองไปสัมภาษณ์คุณพอลเรื่องการทำงานเชฟในสิงคโปร์ดูล่ะ” ฐานิตแนะ
“ฉันอยากเขียนเรื่องสตูลนี่นา อุตส่าห์มาถึงที่ทั้งที เผื่อขาดข้อมูลอะไรจะได้หาข้อมูลเพิ่มได้ง่ายๆ ด้วย” คนเป็นนักเขียนบอก แม้ในใจจะคิดว่าไอเดียนี้น่าสนใจอยู่เหมือนกัน แต่พูดไปเดี๋ยวเพื่อนก็จะรีบลากเธอไปหาปาลอีก
“เออ งั้นแกก็อยู่กับตัวหนังสือของแกและพี่อู๋ต่อไปละกัน” สาวร่างท้วมกลอกตาแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแบบหน่ายๆ
ฟองจันทร์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ปาลก็น่าสนใจอยู่หรอก ทว่าเธอเพิ่งรู้จักเขาเท่านั้น และหลังจากนี้จะได้เจอกันอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะดูเหมือนเขาจะมีแพลนไปเที่ยวต่อที่จังหวัดอื่น แถมเธอกับเขาก็ไม่ได้แลกคอนแทกต์ติดต่อกันไว้ เขาแค่ขอนามบัตรของพิทักษ์ไปเท่านั้น…แต่ถ้าจะได้เจอกันอีกจริงๆ ก็ขออย่าให้เป็นแบบที่เธอเกือบโดนรถของเขาชนเหมือนวันนี้แล้วกัน
โปรดติดตามตอนต่อไป…