“แต่ยังไงก็แล้วแต่ ถ้าไม่นับความหล่อที่ทำให้แต่งหน้าคุณได้ไม่ยากแล้ว สภาพผิวคุณนี่มันช่างเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์มากเลยนะคะ โกลด์…แบบว่าเนียนละเอียดสวยผุดผ่องน่าสัมผัสจริงๆ” พูดไปพูดมาเธอก็ปรับอารมณ์เปลี่ยนเรื่องได้หน้าตาเฉย โดยไม่สนใจว่าผู้ชายที่โดนเธอชื่นชมความงามจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรบ้าง “ผิวดูแข็งแรงไม่แพ้ง่าย ไม่เหมือนฉันที่แพ้ง่ายมาก คุณก็ดูหน้าตาฉันสิ ฉันแต่งหน้าให้ตัวเองไม่ได้เพราะมักจะแพ้เครื่องสำอาง แต่ที่แต่งหน้าเก่งก็เพราะเป็นคนมีทักษะทางศิลปะค่อนข้างสูง ฉันวาดรูปเก่งน่ะ ว่าแต่…ปกติคุณใช้สกินแคร์ยี่ห้ออะไรหรือคะ หรือใช้บริการคลินิกดูแลผิวที่ไหนบ้าง”
“ใช้หลายอย่าง เข้าคลินิกหลายที่ แล้วแต่สะดวก”
“ช่างดีงามอะไรอย่างนี้” เธอยังมองเขาอย่างชื่นชมแม้จะรู้ตัวว่าโดนรำคาญ
“ดีตรงไหน”
“ก็ดีตรงที่…นอกจากจะเบ้าดีหน้าเด้งดึ๋งเพราะสุขภาพผิวที่ดีเป็นทุนเดิมแล้ว ก็ยังมีตังค์ซื้อครีมแพงๆ มาโบกได้ไม่อั้น เข้าคลินิกเสริมความงามได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง น่าอิจฉาสุดๆ ไปเลย ถ้าฉันทำได้อย่างคุณบ้างก็คงจะสวยใสแบบไร้ที่ติอย่างนี้เหมือนกัน เมื่อก่อนฉันเคยเข้าใจว่าการจะมีออร่าเปล่งปลั่งได้ขนาดนี้คือต้องเป็นคนผิวขาวเจิดจ้าวิ้งๆ แต่ดูสิเนี่ย…ทั้งที่ผิวฉันขาวกว่าคุณตั้งเยอะ แถมยังเลือกกินแต่อาหารดีมีประโยชน์เป็นประจำ แต่กลับดูซีดเซียวหม่นหมองสุดๆ เมื่อเทียบกับผิวสีน้ำผึ้งเรืองลออของคุณ ดูสิคะ…มีออร่าวิบวับอย่างน่าอิจฉา ขนาดโดนแดดเผาก็ยังสวยเปล่งปลั่ง”
“คุณมัวพูดมากนี่ใกล้จะเสร็จรึยัง ผมบอกแล้วว่าอย่าแต่งเยอะ” เขาถามเสียงกระด้างอย่างอดทนอดกลั้น นอกจากท่าทีชื่นชมอย่างเปิดเผยจริงใจของเธอจะทำให้รัญชน์รวิชญ์ยิ่งไม่ไว้วางใจและรู้สึกกลัวเธอมากขึ้นแล้ว สายตาพิศวาสขาดใจของเธอยังทำให้เขาอึดอัดขัดเคืองอย่างหนักหน่วงด้วย ถึงกลิ่นหอมละมุนของเธอจะทำให้เขาเคลิ้มไปหลายต่อหลายวูบ แต่ไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะอยากอยู่ใกล้ๆ เธอเพียงเพราะแค่กลิ่นอันน่าหลงใหลนี้แน่นอน
ซึ่งปฏิกิริยาในแง่ลบทั้งหมดนั้นของรัญชน์รวิชญ์ก็ทำเอาคนที่เพิ่งรำพึงรำพันถึงเขาอย่างปลื้มปริ่มต้องชะงักกึก รู้สึกสะอึกเบาๆ แต่ก็ยังฝืนทำดีมีมารยาทต่อเขาด้วยความอดทนเป็นเลิศต่อไป เคยมีคนให้นิยามรัญชน์รวิชญ์ไว้ว่าเป็นผู้ชายสุภาพอ่อนโยนที่ดื้อรั้นและกวนตีนที่สุดคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เธอเองก็นึกภาพไม่ค่อยออก เพราะเท่าที่เห็นภาพลักษณ์ของเขาผ่านสื่อมันก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น จนกระทั่งได้มาใกล้ชิดกับเขาในทริปนี้… แต่อย่างหนึ่งที่เธอเพิ่งมารู้ซึ้งก็คือ เขาไม่ได้สุภาพอ่อนโยนกับทุกคน โดยเฉพาะกับเธอ…
“นี่ก็ไม่ได้แต่งเยอะเลยค่ะ ใกล้จะเรียบร้อยแล้วเนี่ย อีกนิดเดียวเอง ที่ฉันพยายามชวนคุยไปด้วยก็เพื่อคุณจะได้ไม่อึดอัดเกินไป เห็นคุณเกร็งจนแข็งทื่อแล้วมันอดเป็นห่วงไม่ได้ คุณช่วยเข้าใจความหวังดีของฉันสักนิดหนึ่งได้ไหม อย่าหาเรื่องต่อต้านไปเสียทุกอย่าง”
จริงๆ แล้วที่เธอพยายามชวนคุยจนเขารำคาญนี่ก็เพื่อที่ว่าตัวเองจะได้ไม่อึดอัดตายไปเสียก่อน แล้วใจหนึ่งก็แอบหวังว่าหากเธอพยายามคุยด้วยความเป็นมิตร มันอาจจะช่วยลดความไม่พอใจของเขาลงได้บ้าง เขาจะได้ยอมทำตัวปกติกับเธอเสียที แต่ไปๆ มาๆ ดันกลายเป็นว่ามันเหมือนเธอไปชวนเขาทะเลาะเพื่อระบายความเก็บกดไปเสียแล้ว
แล้วหญิงสาวก็ได้รู้ว่าความพยายามของตนไม่เป็นผลดีเลยสักนิด เพราะผลลัพธ์ที่ได้ดูเหมือนจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับที่เธอคาดการณ์ไว้ เนื่องจากตอนลงเรือเธอพบว่ารัญชน์รวิชญ์ทำท่าจะไม่ยอมนั่งติดกับเธอ ทั้งที่สถานการณ์บังคับให้เธอต้องลงเรือเป็นลำดับถัดมาต่อจากเขา…
“อย่าบอกว่าคุณกำลังพยายามจะย้ายที่นั่ง” เธอเอ่ยออกไปด้วยเสียงที่กดให้เบาที่สุดจนได้ยินกันแค่สองคน ขณะที่คนอื่นๆ กำลังวุ่นวายกับการลงเรือและสวมเสื้อชูชีพ
“อื้อ”
“แล้วจะย้ายทำไมให้ยุ่งยาก การนั่งข้างฉันมันเป็นยังไงไม่ทราบ ฉันไม่เคยกัดใคร ตัวก็ออกจะหอมชื่นใจซะขนาดนี้!” เธอแทบจะกัดฟันพูดอย่างเหลืออด