บทที่ 3 ฉันนี่หรือคือซาแซง
การพบอิษฎาที่นี่ทำให้แพรภัทรตกใจพอสมควร ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเองก็ตกใจเช่นกันที่เห็นเธอ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายเป็นลูกพี่ลูกน้องกับรัญชน์รวิชญ์ ทั้งคู่ไม่มีอะไรคล้ายคลึงกันเลยไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา สีผิว บุคลิก การแต่งกาย ไลฟ์สไตล์ หรืออะไรก็ตาม แม้อิษฎาจะทำตัวติดดินและมีภาพลักษณ์ภายนอกที่ไม่บ่งบอกเลยว่าเป็นคุณหนูลูกเศรษฐี แต่เธอก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีฐานะและค่อนข้างมีระดับ ทว่าก็นึกไม่ถึงอยู่ดีว่าจะเป็นญาติสนิทของคนอย่างรัญชน์รวิชญ์ได้
ในสายตาของแพรภัทร อิษฎาเป็นผู้ชายที่มีบุคลิกเซอร์ๆ ตรงๆ ง่ายๆ และดูสบายๆ อย่างแท้จริงในทุกแง่มุม ในขณะที่รัญชน์รวิชญ์…แม้จะเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ติดดินอย่างน่าประทับใจ อัธยาศัยดี จิตใจดี ไม่เรื่องมาก และดูเหมือนจะง่ายๆ สบายๆ ไม่ต่างกัน แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นคนถือตัว ซับซ้อน และไม่ใช่คนที่เข้าถึงง่ายเลย รัญชน์รวิชญ์แค่รู้จักคิด ฉลาด วางตัวเก่ง อยู่เป็น และมีมารยาทมากเท่านั้น
อันที่จริงแล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อิษฎากับรัญชน์รวิชญ์จะเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจนเธอไม่เคยค้นพบความเชื่อมโยงใดๆ ระหว่างพวกเขามาก่อน เพราะแม้แต่คนเป็นฝาแฝดกันก็ยังมีสิ่งที่แตกต่างกันมากมายอย่างเห็นได้ชัดอยู่นับไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแพรภัทรจะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอิษฎาเป็นอย่างดีทุกฝีก้าวแล้ว แต่สุดท้ายก็หลบไม่พ้นจนได้ ถึงใจจริงเธอจะอยากสะบัดหน้าเดินหนีไปจากตรงนั้นทันทีที่เจอเขา แต่ก็จำต้องฝืนใจรักษามารยาท…
“เจอหน้าผมก่อนอาหารเช้าแบบนี้พี่จะกินอะไรลงไหมครับ”
แพรภัทรยิ้มแกนๆ กับคำทักทายดังกล่าวโดยไม่พูดอะไร เธอเคยชื่นชอบอิษฎาอยู่ไม่น้อย เพราะถูกอัธยาศัยเขาเป็นอันมาก นับว่าเขาเป็นคนที่คุยภาษาเดียวกับเธอ ชอบอะไรเหมือนๆ กัน แต่ตอนนี้ไม่อยากจะมองหน้าเขาเลยจริงๆ
“นี่รู้จักกันด้วยเหรอ” อรณีถามอย่างแปลกใจขณะเดินไปห้องอาหารพร้อมกันกับแพรภัทรและอิษฎา
“ผมเคยเป็นลูกค้าพี่แพร แต่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปี สงสัยจำกันไม่ได้แล้ว”
“ยายแพรความจำดีจะตาย ยิ่งหนุ่มหล่อไฮโซแบบอิษคงไม่มีใครลืมง่ายๆ หรอก ใช่ไหมแพร”
“เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ถึงผมจะเป็นญาติสนิทพี่รัน แต่ก็ไม่ได้ไฮโซระดับเดียวกับเขาหรอกนะครับ ที่รวยจริงๆ คือเป็นฝั่ง ‘ถิรยุทธ์’ ตระกูลทางคุณปู่พี่รันเขา”
“ถ่อมตัวไปได้ ฝั่งคุณแม่รันก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน พี่พอจะรู้ข้อมูลครอบครัวพวกเธออยู่บ้างเหมือนกันนะ” อรณีบอกยิ้มๆ “แล้วนี่รันยังไม่ตื่นเหรอ”
“ตื่นแล้วครับ ไปเดินเล่นแต่เช้าแล้ว เขารีบหนีไปก่อนเพราะกลัวออกมาจ๊ะเอ๋กับพี่แพรเข้า…”
“อะไรนะ!” แพรภัทรที่เงียบมาตลอดได้ยินดังนั้นแล้วถึงกับอุทานออกมา
“ก็พี่รันเขาระแวงว่าพี่แพรเป็นแฟนคลับโรคจิตคนหนึ่งที่คอยส่งข้อความป่วนเขามาได้สักพักแล้ว เขาไม่อยากมีปัญหาเลยพยายามเลี่ยง”
“ใครเป็นแฟนคลับโรคจิตนะ พี่เนี่ยเหรอ!”
การถามด้วยอาการเหมือนจะสำลักคำพูดออกมาอย่างตื่นตกใจจนตาแทบถลนของแพรภัทร ทำให้อิษฎาต้องหัวเราะขำ อย่างน้อยการที่เขาลงทุนขายพี่ชายก็ทำให้เธอยอมคุยกับเขามากขึ้น…
“ผมบอกเขาแล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นไปไม่ได้แน่ ถ้าสงสัยก็ให้มาถามพี่แพรตรงๆ ไปเลย แต่ดูเหมือนพี่รันเขาจะปักใจเชื่อจนหลอนไปแล้ว ก็เลยไม่ยอมมาคุยเรื่องนี้กับพี่แพรให้เข้าใจ”
“แล้วอะไรทำให้รันคิดว่าแพรเป็นแฟนคลับโรคจิต” นอกจากจะพิศวงงงงวยแล้ว อรณีก็ยังรู้สึกขำอย่างมากกับเรื่องนี้
“เพราะคนที่ส่งข้อความหาเขาใช้ชื่อแอ็กที่มันพ้องกับชื่อพี่แพรน่ะครับ แล้วรูปที่แฟนคลับคนนั้นส่งมาให้พี่รันก็มีแต่ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่มันคล้ายกันกับของที่พี่แพรใช้อยู่ตอนนี้ทั้งนั้น ยิ่งการที่พี่แพรได้เข้ามาทำงานในทริปนี้อย่างค่อนข้างผิดธรรมชาติ ก็ยิ่งทำให้พี่รันฟันธงว่าต้องใช่แน่ๆ”