ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 7 – 8
บทที่ 8
ครึ่งปีกว่ามานี้เมิ่งถังแม้จะพูดได้ว่าต้องเจออวิ๋นชูเยวี่ยทุกวัน แต่ก็หาได้คุ้นเคยกับนาง อันที่จริงไม่เพียงแต่อวิ๋นชูเยวี่ย ศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ที่กระโจมห้องเรียน นางก็ไม่คุ้นเคย
แม้ครั้งก่อนนางจะแสดงอำนาจ ข่มขวัญติงเล่อเซวียนกับศิษย์น้องซุน หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าข่มเหงระรานนางเช่นเมื่อก่อนที่เคยข่มเหงระรานเจ้าของร่างเดิมอีก แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันเลือกที่จะปฏิบัติต่อนางอย่างเฉยเมยเย็นชา
การแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมก็คือตอนอยู่ที่กระโจมห้องเรียน ไม่มีใครพูดจากับนาง ตอนไปเล่นก็ไม่ชวนนาง ทำราวกับนางล่องหนไม่มีอยู่จริง
พวกเขาเข้าใจว่าเมิ่งถังจะทนไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเมิ่งถังหาได้แยแสสนใจ
ทุกวันไปเข้าเรียนตามเวลา พอถึงเวลาเลิกเรียนก็เก็บข้าวของของตนสาวเท้าจากไป ไม่ได้มองพวกเขาแม้แต่แวบเดียว
สองวันก่อนเมิ่งถังตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้สำเร็จ ต่อไปก็ไม่ต้องไปเข้าเรียนที่กระโจมห้องเรียนอีก สามารถฝึกฝนด้วยตนเอง ยิ่งไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขาแล้ว
ส่วนอวิ๋นชูเยวี่ย เมิ่งถังก็ได้ยินมาว่าไม่กี่วันก่อนนางก็เพิ่งตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้ พูดถึงเรื่องนี้แม้แต่เมิ่งถังยังต้องทอดถอนใจรัศมีของนางเอกช่างแข็งแกร่งเสียจริง
เดิมทีสติปัญญาของอวิ๋นชูเยวี่ยก็นับว่าใช้ได้ แต่แฟนคลับของนางเอกผู้อ่อนแอเปราะบางจะปล่อยให้นางต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการฝึกฝนวรยุทธ์ได้อย่างไร ดังนั้นหลายวันก่อนตอนนางหลงเข้าไปในลำธารเล็กระหว่างภูเขา จู่ๆ ก็มีผลไม้ลูกกลมๆ กลิ่นหอมแตะจมูกผลหนึ่งร่วงลงมาจากเหนือศีรษะนาง
อวิ๋นชูเยวี่ยจะอย่างไรก็เป็นบุตรสาวเจ้าเมืองชื่อเซียวย่อมมีความรู้อยู่บ้าง ในเวลานั้นก็มองออกว่าผลไม้นี้ก็คือหลิวหมิงกั่วที่หาได้ยากยิ่ง มีสรรพคุณในการช่วยเพิ่มพูนพลังวัตรอย่างมาก จึงรีบเก็บขึ้นมากิน จากนั้นก็โคจรพลังลมปราณไปหนึ่งรอบต้าโจวเทียน* เป็นเหตุให้ตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้เช่นนี้เอง
พูดได้เพียงว่าเอาสินค้ามาเปรียบเทียบกันก็ต้องโยนทิ้ง คนเปรียบคนก็ต้องตาย** นางตื่นเช้านอนดึก ไม่กินไม่นอน มุมานะฝึกฝนอยู่ครึ่งปีถึงได้กล้อมแกล้มตีฝ่าขั้นสร้างฐานได้ อวิ๋นชูเยวี่ยเดินอยู่ดีๆ ก็ถูกผลไม้เซียนหล่นใส่ศีรษะ บรรลุขั้นนี้ไปได้อย่างง่ายดาย
ทั้งน่าโมโหและน่าเศร้าใจ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อิจฉาโชควาสนาของผู้อื่นอยู่เงียบๆ
อวิ๋นชูเยวี่ยก็เห็นเมิ่งถังกับมู่หวาฮุยแล้ว หลังจากชะงักไปชั่วขณะ นางก็หันหน้าไปพูดอะไรกับหลิงซิงเหยา
หลิงซิงเหยาย่นหัวคิ้ว มองมาทางพวกนางด้วยสายตาเมินเฉยแวบหนึ่ง สุดท้ายยังคงหมุนตัวเดินมาทางนี้พร้อมกับอวิ๋นชูเยวี่ย
เมิ่งถังแม้จะไม่ได้ยินว่าอวิ๋นชูเยวี่ยพูดอะไร แต่พอจะคาดเดาได้
จะต้องเพราะอวิ๋นชูเยวี่ยเห็นนางกับมู่หวาฮุยจึงคิดจะเข้ามากล่าวทักทายพวกตน แต่หลิงซิงเหยาความสามารถสูงส่งเหนือผู้คนไม่อยากมา ทว่าในที่สุดก็ไม่อาจต้านทานคำพูดนุ่มนวลอ่อนโยนของคนงามได้ จึงเดินมาอย่างไม่เต็มใจ
เมิ่งถังอยากจะกลอกตาสบประมาทใส่หลิงซิงเหยายิ่งนัก
ทำราวกับมีใครไปขอร้องให้ท่านมาทักทายพวกเราเช่นนั้น
เมิ่งถังดึงชายแขนเสื้อมู่หวาฮุยเบาๆ พลางกระซิบบอก “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หลิงกับศิษย์น้องอวิ๋นอยู่ทางด้านนั้น”
รีบดูสิว่าอวิ๋นชูเยวี่ยกับหลิงซิงเหยาใกล้ชิดสนิทสนมกันเพียงใด!
รีบรู้ให้เร็วหน่อยคนที่อวิ๋นชูเยวี่ยชอบมีเพียงหลิงซิงเหยาคนเดียว!
รีบเข้าใจให้เร็วหน่อยความรักที่ท่านมีต่ออวิ๋นชูเยวี่ยนั้นเป็นความรักที่สิ้นหวัง!
รีบรั้งบังเหียนม้าเมื่อถึงหน้าผา***! เช่นนี้ภายหน้าท่านก็จะไม่ความคิดความหวังพังทลาย คิดแต่จะแสวงหาความตายแล้ว!
มู่หวาฮุยไม่รู้ว่าในใจของเมิ่งถังเขียนคำบรรยายไว้เต็มหน้ากระดาษแล้ว มองนางแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวหันหน้าไป
หลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ยเดินตรงมาทางพวกเขาแล้ว
สองคนนี้ คนหนึ่งสวมชุดดำ คนหนึ่งสวมชุดสีชมพู คนหนึ่งเคร่งขรึมเย็นชา คนหนึ่งงามเพริศพริ้ง รูปโฉมล้วนเลิศล้ำ ส่วนสูงแตกต่างอย่างพอเหมาะ ดูแล้วเหมาะสมกันอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่เมิ่ง” ในมือของอวิ๋นชูเยวี่ยหิ้วโคมกระต่ายที่งดงามอยู่ดวงหนึ่ง แย้มยิ้มอ่อนหวาน “พวกท่านสองคนเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้” น้ำเสียงบริสุทธิ์และไร้เดียงสาดุจแม่หนูน้อย
“ศิษย์น้องหลิง ศิษย์น้องอวิ๋น” มู่หวาฮุยผงกศีรษะน้อยๆ ให้นาง น้ำเสียงแม้จะนุ่มนวล แต่กลับไม่สนิทสนม “ข้ากับศิษย์น้องมาชมโคมไฟ”
พูดตามศักดิ์ฐานะ ในสำนักหมิงหวานอกจากเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสผู้นำสังกัดยอดเขาแต่ละแห่งแล้ว มู่หวาฮุยนับว่ามีความอาวุโสที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีชื่อเสียงในแดนบำเพ็ญเซียนมานาน ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่อวิ๋นชูเยวี่ยเห็นเขาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเคารพเลื่อมใสขึ้นมาในใจหลายส่วน
เวลานี้ถึงกับได้พูดจากับเขาในระยะใกล้เช่นนี้…ริ้วแดงที่สองข้างแก้มยิ่งชัดเจนขึ้น
เมิ่งถังยืนอยู่ข้างหลังมู่หวาฮุย นางเพิ่งยื่นมือไปหยิบขนมที่ทำจากแป้งกระจับออกมาชิ้นหนึ่ง เวลานี้กำลังกินไปมองอวิ๋นชูเยวี่ยพูดคุยกับมู่หวาฮุยด้วยใบหน้าแดงระเรื่อไป อีกทั้งมองท่าทางของหลิงซิงเหยาที่สองมือไพล่หลัง เม้มปากไม่พูดอะไร แววตาหม่นขรึม
ภาพที่เห็นทั้งหมดนี้เมิ่งถังแสดงท่าทีว่าเข้าใจ
ก่อนหน้าที่ชาติกำเนิดที่แท้จริงของมู่หวาฮุยจะเปิดเผยออกมา ชนรุ่นหลังในแดนบำเพ็ญเซียน หรือคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกันกับเขา เมื่อเห็นเขามีคนใดบ้างไม่เกิดความเคารพเลื่อมใสขึ้นในใจ อวิ๋นชูเยวี่ยมีสภาพจิตใจที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นเด็กหญิงตัวเล็กๆ มีความเคารพเลื่อมใสมาก มีท่าทีเช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้ามู่หวาฮุยถือเป็นเรื่องปกติ
ส่วนหลิงซิงเหยา…
ตัดเรื่องความรู้สึกรบกวนในใจที่ว่าเมื่อฟ้าส่งข้าจิวยี่มาเกิดแล้ว เหตุไฉนจึงส่งจูเก่อเลี่ยงมาเกิดด้วย* ออกไปแล้ว ย่อมต้องมีความไม่สบายใจที่เห็นสตรีที่ตนรัก ถึงกับมีท่าทีขวยเขินเอียงอายหน้าแดง พูดจาด้วยน้ำเสียงเลื่อมใสศรัทธาต่อหน้าบุรุษอื่น โดยเฉพาะยังเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมเลิศล้ำยิ่งกว่าตน
ทว่าหลิงซิงเหยารู้สึกไม่สบายใจ เมิ่งถังกลับสบายใจแล้ว
ฮึ ใครใช้ให้ครั้งก่อนตอนเจอข้าบนท้องถนน ท่านใช้สายตาเหมือนมองอึสุนัขมองข้า
สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องเพิ่งจะปรากฏออกมาก็เห็นหลิงซิงเหยาคนผู้นี้ไม่รู้หันหน้ามาตั้งแต่เมื่อใด สายตากำลังมองมาที่นาง
คิ้วเรียวยาวขมวดมุ่น ท่าทางเบื่อหน่ายรำคาญ
เมิ่งถังเลิกคิ้ว มองตอบเขาด้วยสายตาเช่นมองอึสุนัข
จากนั้นก็เห็นคิ้วเรียวยาวคู่นั้นของหลิงซิงเหยายิ่งขมวดแน่น นางยกมือเอาขนมแป้งกระจับที่เหลืออยู่ในมือยัดเข้าปาก ใบหน้ายิ้มกริ่ม
เจ้าหนู ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!