ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 7 – 8 – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา

ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 7 – 8

4 of 4หน้าถัดไป

มองออกว่าอวิ๋นชูเยวี่ยอยากจะยืนอยู่ที่นี่พูดคุยกับมู่หวาฮุยต่อ แต่ความไม่ชอบใจของหลิงซิงเหยาก็เปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน สุดท้ายอวิ๋นชูเยวี่ยก็พะวงถึงหลิงซิงเหยา จำต้องเอ่ยปากบอกมู่หวาฮุยว่าจะไปเดินเที่ยวเล่นที่ด้านหน้ากับศิษย์พี่หลิงต่อ

มู่หวาฮุยยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า รอพวกเขาสองคนหมุนตัวเดินจากไปแล้ว เขาก็หันหน้ามามองเมิ่งถัง

เมิ่งถังเพิ่งชิมขนมแป้งกระจับหมด ตอนนี้หยิบขนมอบรูปดอกบัวชิ้นหนึ่งออกมากิน เห็นมู่หวาฮุยมองนางก็รีบกลืนขนมรูปดอกบัวในปากลงไป

รีบร้อนกลืนเกินไปจึงติดคอแล้ว

รสชาติของการกินอาหารติดคอช่างทรมาน ดวงหน้างามของเมิ่งถังแดงก่ำ ยกมือขึ้นกำหมัดทุบหน้าอกตนเองไปหลายที แต่ความรู้สึกอัดแน่นไม่สบายขุมนั้นยังคงอยู่ ทั้งยังควบคุมไม่อยู่สะอึกขึ้นมา

มู่หวาฮุยก็ยอมนางแล้วจริงๆ

เห็นอยู่ว่าโตปานนี้แล้วกลับยังเหมือนเด็กเล็กๆ กินขนมก็ยังติดคอได้ ข้างกายไม่มีน้ำไม่มีน้ำชา ได้แต่ยกมือขึ้นตบหลังนางเบาๆ ตบไปไม่กี่ทีก็ถามนาง “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”

เมิ่งถังสั่นศีรษะ มู่หวาฮุยก็ตบหลังอีกหลายที นางจึงค่อยๆ หายสะอึก

ถ้าเปลี่ยนเป็นสตรีอื่น เวลานี้เกรงว่าคงจะอายมาก แต่เมิ่งถังกลับเห็นว่าไม่มีอะไรต้องอาย

หลังจากคลุกคลีอยู่ด้วยกันมาครึ่งปี นางก็เห็นมู่หวาฮุยเป็นดั่งพี่ชายไปนานแล้ว อยู่ต่อหน้าพี่ชายของตนจะทำเรื่องน่าอายเพียงใดก็ไม่นับว่าขายหน้า ยิ่งไม่ต้องอับอาย

ครั้นแล้วนางก็ยิ้มแป้นพลางกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณศิษย์พี่”

เพียงแต่นางเห็นมู่หวาฮุยเป็นพี่ชาย มู่หวาฮุยกลับประจักษ์ชัดว่าไม่ได้เห็นนางเป็นน้องสาว

มู่หวาฮุยคงจะ…อาจจะ…หรือน่าจะเห็นนางเป็นบุตรสาว

สายตากวาดมองเศษขนมอบที่ร่วงหล่นอยู่บนตัวเสื้อด้านหน้าของเมิ่งถังไปมาหลายครั้ง ในที่สุดมู่หวาฮุยก็อดรนทนไม่ไหว ยกมือขึ้นประกบนิ้วท่องอาคมทำความสะอาดเสื้อ จากนั้นก็บ่นนาง “ตอนกินขนมก็ไม่ระวังเศษขนมอย่าให้หล่นใส่เสื้อผ้า ยังมีมุมปากด้านขวาของเจ้าที่มีเศษขนมติดอยู่ เช็ดออกเอง” ด้วยน้ำเสียงอับจนปัญญา

เมิ่งถังถูกเขาบ่นว่าก็ยังคงยิ้มแย้ม ไม่เก็บมาใส่ใจ “ทราบแล้ว”

ทางหนึ่งก็ยกแขนขึ้นเช็ดเศษขนมที่มุมปากส่งๆ ทางหนึ่งก็ครุ่นคิด เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าโรคเจ้าระเบียบของศิษย์พี่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้น

กำลังจะเอ่ยปากหยอกเย้าสักหลายคำกลับเห็นมู่หวาฮุยจู่ๆ ก็ย่นหัวคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึม

“กลิ่นอายมาร!” ไม่ทันได้อธิบายกับเมิ่งถัง เขาก็เรียกกระบี่อู๋จี๋มา กุมแขนเมิ่งถังดึงนางขึ้นไปบนกระบี่

กระบี่อู๋จี๋จิตใจเชื่อมโยงถึงกันกับเขามานานแล้ว มู่หวาฮุยเกิดความคิดขึ้นในใจ กระบี่เลี้ยวโค้งบนอากาศ จากนั้นก็พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ออกจากเมืองเหิงหยางมาถึงชานเมืองบริเวณนอกป่าสนแห่งหนึ่ง

บนท้องฟ้าหิมะยังไม่หยุดตก รอบด้านปกคลุมไปด้วยสีเงิน ภายใต้แสงหิมะบางเบาเห็นได้ว่าบนพื้นหิมะเบื้องล่างมีรอยเท้ายุ่งเหยิงและคราบโลหิตสดสีแดงหลายรอย เห็นชัดว่าที่นี่เพิ่งเกิดการต่อสู้กัน เกรงว่าจะน่าสังเวชใจอย่างยิ่ง

มู่หวาฮุยหัวคิ้วนัยน์ตาสงบนิ่ง

“ประเดี๋ยวคอยตามข้า อย่าเที่ยวเดินส่งเดช”

หลังจากสั่งกำชับเมิ่งถังเรียบร้อย เขาก็ขี่กระบี่เข้าไปในป่า

หลังจากเมิ่งถังทะลุมิติมาก็อยู่ในสำนักหมิงหวามาตลอดไม่เคยลงจากเขา และไม่เคยผ่านการทดสอบการฝึกฝนเลยสักครั้ง แต่บัดนี้ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ยังไม่รู้ ในใจของนางถึงกับไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย

นางรู้ว่าเป็นเพราะมีมู่หวาฮุยอยู่ที่นี่! มีศิษย์พี่อยู่ก็มีความรู้สึกปลอดภัย!

ยืนอยู่ข้างหลังมู่หวาฮุย ขี่กระบี่ด้วยกันต่อไปอีกระยะหนึ่งก็เห็นในเงาไม้มีเงาร่างคนแวบผ่านไปมาเป็นระยะ ผู้บำเพ็ญเซียนสายตาดีกว่าคนธรรมดา ถึงพลังวัตรของเมิ่งถังเพิ่งจะผ่านขั้นสร้างฐานก็มองเห็นไอสีดำที่อบอวลอยู่รอบบริเวณ

อีกทั้งพวกนางยิ่งขี่กระบี่ลึกเข้าไป ไอดำรอบบริเวณก็ยิ่งเข้มข้น

ครู่หนึ่งกระบี่อู๋จี๋ก็เลี้ยวโค้ง เบื้องหน้าพลันปรากฏเนินเขาแห่งหนึ่งขึ้นมา

ที่ราบบนเนินเขามีป่าไม้ที่เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์อยู่ผืนหนึ่ง ทว่ายามนี้มีต้นไม้จำนวนมากเหมือนไหม้เกรียมล้มระเนระนาดอยู่บนพื้น ที่ยังไม่ล้มลงมา ลำต้นกิ่งใบก็ถูกไอดำกัดกร่อนจนกลายเป็นสีดำเกรียมไปหมด

มู่หวาฮุยมองไอดำรอบบริเวณที่หนาข้นดุจดินเลนในห้วยหนอง คิ้วเรียวยาวชวนมองคู่นั้นขยับเข้าหากัน

จากนั้นเขาก็เอียงศีรษะมา ยกมือขวาขึ้น นิ้วมือเรียวยาววาดยันต์ชำระใจขึ้นมาในอากาศแล้วซัดเข้าไปที่หว่างคิ้วของเมิ่งถัง

เพราะไอมารที่เข้มข้นเมื่อครู่ ปราณวิเศษในร่างเมิ่งถังจึงพลุ่งพล่านไปทั่วมือเท้าทั้งสี่รวมทั้งกระดูกทั้งหมด ส่งผลให้สติสัมปชัญญะของนางออกจะไม่มั่นคง เมื่ออาคมชำระใจเข้าสู่ร่างพลันเหมือนมีสายลมเย็นพัดผ่าน เมฆดำเต็มท้องฟ้าสลายไปหมด เผยท้องฟ้าแจ่มใสที่อยู่ด้านหลังออกมา

เห็นแววตาของนางกลับมาใสกระจ่างดังเดิม มู่หวาฮุยมือหนึ่งกุมกระบี่อู๋จี๋ มือหนึ่งโอบเอวบางของเมิ่งถังไว้เบาๆ เหินทะยานไปทางเนินเขาอย่างนุ่มนวลดุจใบไม้ร่วงหล่น

บนเนินเขาเป็นจุดที่ไอดำเข้มข้นที่สุด ประหนึ่งถ้ำที่ดำมืด เพียงพอที่จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบด้าน แต่ในไอดำเข้มข้นนั่นเห็นชัดว่ามีเงาร่างคนหลายสายกำลังต่อสู้กันอยู่ บางครั้งมีประกายกระบี่วาบขึ้น ปราณวิเศษที่ปรากฏดูปกติน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเช่นกัน

สหายร่วมบำเพ็ญเซียนมีภัยย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย อีกทั้งพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเดิมก็แบกรับหน้าที่ในการขจัดมารผดุงคุณธรรม ไหนเลยจะมีเหตุผลที่เจอมารอสูรก็หมุนตัวจากไป

 

* ฉีดเลือดไก่ เป็นสำนวน หมายถึงคึกคักกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที มีที่มาจากในช่วงปี ค.ศ. 1980 ในประเทศจีนมีวิธีการดูแลสุขภาพด้วยการฉีดเลือดไก่ โดยเอาเลือดจากไก่ตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีมาฉีดให้คน คนที่ฉีดเลือดไก่จะหน้าแดง คึกคักกระฉับกระเฉง แต่ความจริงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกหลักวิทยาศาสตร์และมีอันตราย ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเป็นอาการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมของร่างกายและมีอันตรายอย่างมาก ภายหลังได้เลิกไป แต่คำพูดนี้ยังใช้กันอยู่

* ชีเป่า หมายถึงเจ็ดสิ่งล้ำค่า ได้แก่ ทอง เงิน อำพัน ปะการัง หอย โมรา และไพฑูรย์ ชาวจีนมีความเชื่อว่าการได้มาซึ่งสิ่งล้ำค่าทั้งเจ็ดนี้จะนำความสงบสุขมาสู่ผู้คน

* ผลอิงเถา คือเชอรี่

* เขาไท่ซาน เป็นหนึ่งในห้าขุนเขาสำคัญของจีน ตั้งอยู่ในมณฑลซานตง เป็นขุนเขาที่ยิ่งใหญ่และงดงาม

* การโคจรพลังลมปราณ แบ่งเป็นเสี่ยวโจวเทียนกับต้าโจวเทียน เสี่ยวโจวเทียนจะเริ่มจากจุดตันเถียนที่อยู่บริเวณใต้สะดือไปยังเส้นลมปราณเยิ่นม่ายและตูม่าย ส่วนต้าโจวเทียนจะเริ่มจากจุดตันเถียนไปยังเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดและเส้นลมปราณหลักทั้งสิบสองเส้นหมุนเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย

** เอาสินค้ามาเปรียบเทียบกันก็ต้องโยนทิ้ง คนเปรียบคนก็ต้องตาย เป็นสำนวน หมายถึงให้พอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่หลับหูหลับตาเปรียบเทียบกับผู้อื่น เอาสิ่งของมาเปรียบเทียบกันสิ่งของที่ด้อยกว่าย่อมต้องโยนทิ้ง คนเปรียบเทียบกัน คนที่ยากจนลำบากยากแค้นย่อมยากจะมีชีวิตอยู่ได้

*** รั้งบังเหียนม้าเมื่อถึงหน้าผา หมายถึงได้สติกลับตัวทันเมื่อเผชิญอันตราย เช่นเดียวกับการดึงบังเหียนหยุดม้าตรงริมขอบผาชันได้ทันท่วงที

* ฟ้าส่งข้าจิวยี่มาเกิดแล้ว เหตุไฉนจึงส่งจูเก่อเลี่ยงมาเกิดด้วย เป็นคำพูดตัดพ้อสวรรค์ก่อนตายของจิวยี่ในเรื่องสามก๊ก จิวยี่เป็นผู้มีความรู้แตกฉานทั้งการทหารและศิลปะแขนงต่างๆ เป็นคู่ปรับของจูเก่อเลี่ยงหรือขงเบ้ง แต่มักพ่ายแพ้ให้กับขงเบ้งอยู่ตลอดจึงมีความริษยาและแค้นใจ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 66 เวลา 12.00 .

4 of 4หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com