ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา
ทดลองอ่าน ข้าต้องปกป้องศิษย์พี่ผู้หล่อเหลา เล่ม 1 บทที่ 9 – 10
บทที่ 10
มู่หวาฮุยยื่นมือมารับกระบี่อู๋จี๋ ตอนเผชิญหน้ากับอวิ๋นชูเยวี่ย เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไร เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น
ดังนั้นจึงเพียงผงกศีรษะให้หลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ย เอ่ยทักทายว่า ‘ศิษย์น้องหลิง ศิษย์น้องอวิ๋น’
ยามนี้ผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติหลายคนนั้นได้เดินมาทางมู่หวาฮุยกับเมิ่งถังแล้ว คนที่เดินนำหน้าเป็นหญิงสาวสวมเสื้อผ้าแพรบางสีคราม
หลังการต่อสู้อย่างทรหด แขนเสื้อและชายกระโปรงของหญิงสาวผู้นี้ฉีกขาดหลายส่วน เส้นผมของนางยุ่งเหยิง หน้าผากก็มีคราบโลหิต แต่ยังคงมองออกถึงองคาพยพทั้งห้าที่หมดจดงดงามของนาง กลิ่นอายทั่วร่างก็ดูละมุนละไมสุภาพนุ่มนวลยิ่ง
นางค้อมตัวคารวะมู่หวาฮุยกับเมิ่งถังอย่างเต็มรูปแบบ แล้วบอกให้ทราบถึงวงศ์ตระกูลของตน
“ข้าน้อยโจวอิ้งเสวี่ย ขอบคุณคุณชายและแม่นางที่ให้ความช่วยเหลือ บุญคุณอันใหญ่หลวงชั่วชีวิตไม่มีวันลืมเลือน ขอบังอาจถามนามอันสูงส่งของผู้มีพระคุณทั้งสอง มาจากสำนักใดหรือ ข้าน้อยจะได้จดจารไว้ในใจ ระลึกถึงทุกวันคืน”
เมิ่งถังได้ยินชื่อสกุลของนางก็อดมองดูอีกฝ่ายอย่างละเอียดไม่ได้
เส้นทางความรักชายหญิงในหนังสือนิยาย นางอ่านแล้วเบื่อมาก กระทั่งรู้สึกเหนือความคาดหมาย ความเข้าใจผิดเรื่องหนึ่งต่อด้วยความเข้าใจผิดอีกเรื่องหนึ่ง แง่งอนเรื่องนี้ต่อด้วยแง่งอนเรื่องนั้น ด้วยเหตุนี้ตรงส่วนที่เกี่ยวกับเส้นทางความรักชายหญิงนางจึงอ่านข้ามไปหมด
แต่เรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการที่นางจะรู้ว่าในหนังสือมีตัวประกอบหญิงที่ชื่อโจวอิ้งเสวี่ยอยู่คนหนึ่ง
ความจริงแล้วโจวอิ้งเสวี่ยผู้นี้มีฐานะใกล้เคียงกับอวิ๋นชูเยวี่ย เป็นบุตรสาวของเจ้าเมืองเหิงหยาง
กระทั่งสาเหตุที่นางมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อหลิงซิงเหยาก็ใกล้เคียงกับอวิ๋นชูเยวี่ยคือเพราะหลิงซิงเหยาเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม
แต่จุดจบของทั้งสองคนกลับต่างกันมาก
คนหนึ่งได้แต่งงานกับชายคนรัก อยู่อย่างมีความสุขไปชั่วชีวิต คนหนึ่งกลับได้แต่แอบชอบหลิงซิงเหยามาโดยตลอด ภายหลังอวิ๋นชูเยวี่ยถูกจับตัวไป โจวอิ้งเสวี่ยไม่อาจทนเห็นหลิงซิงเหยาร้อนใจเป็นทุกข์ได้ ถึงกับตัดสินใจใช้ชีวิตของตนไปแลกกับชีวิตของอวิ๋นชูเยวี่ย ต้องพบกับจุดจบที่วิญญาณแตกดับ ไม่อาจกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
เมิ่งถังมองโจวอิ้งเสวี่ย มองมู่หวาฮุย แล้วนึกถึงเจ้าของร่างเดิมของตน
อืม ดียิ่ง จุดจบของพวกเขาสามคน ตัวประกอบที่ล้วนวิญญาณแตกสลาย ยามนี้มารวมกันพร้อมหน้าแล้ว เมื่อคิดเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจโจวอิ้งเสวี่ยในฐานะผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน
“พี่โจว ยินดีที่ได้รู้จัก” เมิ่งถังยิ้มอ่อนหวาน “ข้าชื่อเมิ่งถัง นี่คือศิษย์พี่ของข้า มู่หวาฮุย”
สำนักใดก็ไม่ต้องบอกแล้ว บรรพบุรุษของเจ้าเมืองเหิงหยางคนปัจจุบันก็เป็นศิษย์สำนักบำเพ็ญเซียน มีความเกี่ยวพันกับแดนบำเพ็ญเซียนอยู่บ้าง ในฐานะบุตรสาวเจ้าเมืองเป็นไปไม่ได้ที่โจวอิ้งเสวี่ยจะไม่เคยได้ยินชื่อของมู่หวาฮุย
ถ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ไม่เป็นไร สิบก้าวสังหารหนึ่งคน ในระยะพันหลี่* ไม่มีใครต้านทานได้ เสร็จเรื่องตวัดชายแขนเสื้อจากไป ปิดบังชื่อและฐานะ เท่านี้ก็ให้นางมีโอกาสได้แสร้งทำตนดูดีต่อหน้าผู้คนแล้ว
ส่วนหลิงซิงเหยากับอวิ๋นชูเยวี่ย โดยเฉพาะหลิงซิงเหยา เมิ่งถังไม่คิดจะแนะนำต่อโจวอิ้งเสวี่ย
โจวอิ้งเสวี่ยเป็นบุตรสาวเจ้าเมือง เดิมก็ใช้ชีวิตของตนอยู่ดีๆ ด้วยรูปโฉมและอุปนิสัยของนาง วันหน้าย่อมได้แต่งสามีที่เหมาะสมคู่ควรกัน รักใคร่ปรองดอง อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไปตลอดชีวิต แต่เพราะมาหลงรักหลิงซิงเหยา สุดท้ายถึงกับมีจุดจบที่น่าเวทนาเช่นนั้น
ดังนั้นโจวอิ้งเสวี่ยยังคงอย่ารู้จักหลิงซิงเหยาจะดีกว่า
ไม่ผิดจากที่คิดโจวอิ้งเสวี่ยเคยได้ยินชื่อมู่หวาฮุยมาก่อน รีบคารวะอีกครั้ง
“ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์ผู้เก่งกล้าทั้งสองของท่านเจ้าสำนักเมิ่งแห่งสำนักหมิงหวา! นามของท่านทั้งสองดังก้องหูดุจเสียงฟ้าร้อง วันนี้ได้พบนับเป็นบุญวาสนาที่อิ้งเสวี่ยสั่งสมมาสามชาติ”
เมิ่งถังใจคิด ลูกศิษย์ผู้เก่งกล้าของท่านเจ้าสำนักคือศิษย์พี่ ที่ดังก้องหูท่านดุจเสียงฟ้าร้องก็คือศิษย์พี่ ข้าเป็นเพียงช่ายจี** วันนี้เพียงเพราะอาศัยบารมีของศิษย์พี่ถึงได้ถูกท่านมองอย่างยกย่อง
แต่โจวอิ้งเสวี่ยหาได้คิดเช่นนั้นไม่
เมื่อครู่กระบี่เดียวของมู่หวาฮุยสะท้านสะเทือนจิตใจนางจริง ทำให้นางประหลาดใจ แต่เมิ่งถังเคลื่อนไหวกระโดดขึ้นลงสังหารมารอสูรที่เหลือทั้งหมดก็เป็นความจริง
ในใจทั้งซาบซึ้งและเลื่อมใสศรัทธาพวกเขาทั้งสองคน จึงบอกถึงฐานะความเป็นมาของตนอย่างละเอียด แล้วเรียกกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังนางเข้ามาคารวะมู่หวาฮุยกับเมิ่งถัง
กับหลิงซิงเหยาและอวิ๋นชูเยวี่ย แม้เมื่อครู่เมิ่งถังจะเอ่ยถึงบอกว่าสองท่านนี้ก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักหมิงหวาของนาง แต่จะอย่างไรทั้งสองคนก็มาช้าแล้ว ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้เมื่อครู่ช่วยชีวิตพวกนางไว้ ด้วยเหตุนี้แม้โจวอิ้งเสวี่ยจะพูดจาเกรงอกเกรงใจพวกเขาสองคน แต่ไม่ว่าอย่างไรย่อมเทียบไม่ได้กับมู่หวาฮุยและเมิ่งถัง
ตามคำอธิบายของโจวอิ้งเสวี่ย มู่หวาฮุยกับเมิ่งถังจึงได้รู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ
ที่แท้บรรพบุรุษของสกุลโจวมีบรรพชนท่านหนึ่งได้เข้าเป็นศิษย์สำนักบำเพ็ญเซียนแห่งหนึ่ง ยังฝึกฝนจนเป็นผู้ฝึกวิชาหลอมโอสถที่ฝีมือร้ายกาจยิ่ง
วันหนึ่งเซียนท่านนี้บังเอิญไปได้หญ้าวิเศษที่เคยแต่ได้ยินคนเล่าลือสืบต่อกันมาต้นหนึ่ง และนำมาผสมกับบุปผาวิเศษ หญ้าวิเศษล้ำค่าต่างๆ เข้าไปหลอมออกมาเป็นยาวิเศษห้าเม็ด
ยาวิเศษนี้มีความยอดเยี่ยมมหัศจรรย์ยิ่ง ผู้ฝึกวิชาส่วนใหญ่มักเจอปัญหาคอขวด* เมื่อผ่านไปได้พลังวัตรก็จะก้าวรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง ผ่านไม่ได้ก็จะเกิดความเสื่อมห้าอย่างของเทพเซียน** และเป็นเช่นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่ค่อยๆ เดินเข้าหาความตาย
กล่าวกันว่ายาวิเศษนี้สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนทะลวงผ่านปัญหาคอขวดไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญเซียน ของเล่นชิ้นนี้เปรียบกับพวกโสมเอยหลิงจือเอยยังล้ำค่ากว่ามาก
เวลาผ่านไปนับพันปี ยาวิเศษห้าเม็ดนี้บ้างก็ถูกมอบให้ผู้อื่น บ้างก็ถูกขาย บ้างก็ถูกคนในสกุลโจวใช้ไป ถึงตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียงเม็ดเดียวแล้ว
สกุลโจวย่อมเห็นยาวิเศษเม็ดสุดท้ายเม็ดนี้เป็นสิ่งล้ำค่า ไม่เพียงมีคนเฝ้ายามที่นอกห้องลับจำนวนมาก พวกเขายังเปลี่ยนห้องลับที่เก็บยาวิเศษอยู่เสมอ
คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ถึงกับมีคนมาขโมย เห็นว่าขโมยไม่สำเร็จถึงกับแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งยังช่วงชิงไปได้สำเร็จ
นี่จะได้อย่างไร เจ้าเมืองสั่งคนให้รีบตามสกัดและสังหารผู้มาช่วงชิง โจวอิ้งเสวี่ยพาคนไล่ตามมาตลอดทางจนถึงที่นี่ก็เจอมารอสูรกลุ่มนี้เข้า พวกนางสู้ไม่ได้ บาดเจ็บล้มตายไปหลายสิบคน ถ้าไม่ใช่มู่หวาฮุยกับเมิ่งถังเร่งรุดมาถึง เกรงว่าพวกนางหลายคนที่เหลืออยู่คงต้องตายอยู่ที่นี่
“ดังนั้นความจริงแล้วพวกที่ขโมยยาวิเศษเม็ดนั้นไปไม่ใช่มารอสูรเหล่านี้” เมิ่งถังถามแทรกขึ้น
“ใช่” โจวอิ้งเสวี่ยพยักหน้า “แต่พวกที่ขโมยยาวิเศษต้องเป็นคนของเผ่ามารแน่นอน” น้ำเสียงยืนยันหนักแน่น
เมิ่งถังก็คิดเช่นนั้น