เขามองเธอนิ่งๆ
เธอพูดจบแล้วเงียบไปเช่นกัน
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เงาของคนสองคนทอดอยู่บนผนัง หนึ่งร่างใหญ่หนึ่งร่างเล็กยืนประจันหน้ากันนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน ประหนึ่งรูปปั้นหินคู่หนึ่งที่สบตากันและกันอย่างลึกซึ้ง
หากแต่ดวงตาของหญิงสาวกลับฉายแววเลื่อนลอย ทั้งคล้ายมองดูเขาอยู่ทั้งคล้ายมองผ่านตัวเขาไปยังที่ไกลๆ แห่งหนใดก็สุดจะรู้ได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หรือบางทีอาจแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น ซูเสวี่ยจื้อรู้สึกตัวกะทันหัน เหลือบตาขึ้นสบตากับเขาอีกครั้งหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นก็แค่นี้เถอะ ฉันควรกลับได้แล้ว”
เธอพยักหน้ากับเขาด้วยท่าทางลุกลนเล็กน้อย จากนั้นหันหลังผลุนผลันเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน” เฮ่อฮั่นจู่เดินไล่ตามไปหลายก้าว
เธอหยุดฝีเท้าแล้วเหลียวมอง
“ดึกมากแล้ว คุณกลับคนเดียวไม่ปลอดภัย คุณรอสักครู่ ผมเรียกให้ติงชุนซานขับรถมาพาคุณไปส่งนะ”
ซูเสวี่ยจื้อมองเขา เริ่มแรกเธอไม่พูดอะไร ผ่านไปชั่วครู่มุมปากของเธอก็ยกโค้งขึ้นเป็นครั้งที่สองแล้วพยักหน้า “ก็ดีค่ะ”
เขาดูท่าทางโล่งใจ รีบเดินออกไปยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานต่อสายออกไป สั่งให้ติงชุนซานขับรถมาที่กองบัญชาการ “คุณพาเสี่ยวซูไปส่งที่วิทยาลัยด้วย”
“ครับ จะถึงที่นั่นภายในสิบนาที”
ก่อนหน้านี้หลังติงชุนซานคุยโทรศัพท์กับซูเสวี่ยจื้อจบเขาก็สังหรณ์ใจว่าคืนนี้น่าจะไม่ได้หลับได้นอนแล้ว จึงลุกจากเตียงแต่งตัวเรียบร้อยนั่งรอโทรศัพท์ แล้วเจ้านายก็โทรศัพท์มาจริงๆ เขาขับรถไปที่กองบัญชาการโดยไม่รอช้า
เฮ่อฮั่นจู่วางหูโทรศัพท์แล้วหันไปเห็นเธอเดินออกมาจากห้องนอน เขาบอกเธอว่ารอครู่เดียว ติงชุนซานจะมาถึงภายในสิบนาที
ซูเสวี่ยจื้อพยักหน้า ค่อยนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ ตัวตามสบาย
เขายืนอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งถึงไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตัวของเขาหลังโต๊ะทำงานอย่างเอื่อยเฉื่อย
ไม่มีใครปริปากพูดอีก
สามนาฬิกากว่าแล้ว ภายในห้องทำงานโล่งกว้างที่เงียบเชียบไม่ได้ยินเสียงอะไรสักนิดห้องนี้ ชายหญิงคู่หนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบไป มีเพียงเงาคนสองเงาอยู่เป็นเพื่อน
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดซูเสวี่ยจื้อถึงหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนมาที่ห้องทำงานของเขาห้องนี้เป็นครั้งแรก
ตอนนั้นดูเหมือนเธอก็เลือกเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่ตอนนี้ เพื่อที่จะได้นั่งเยื้องกับเขา
เขาพูดเรื่องความซื่อสัตย์กับเธอ เธอพูดเรื่องความถูกต้องชอบธรรมกับเขา เหมือนคุยกันคนละภาษา วันนั้นทั้งคู่แยกกันไปอย่างขุ่นเคืองใจ พอคิดขึ้นมาตอนนี้เธอก็รู้สึกขบขันนิดหน่อย
เรื่องน่าขำไม่ได้มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว
ก่อนหน้านั้นเขาพาเธอกับเฮ่อหลันเสวี่ยไปกินข้าว เธอสั่งแชมเปญที่แพงที่สุดแบบไม่เกรงใจเจ้ามือ ยังเจอกับเขาในห้องน้ำชายอีกด้วย
ต่อมาภายหลังเขายังพาเธอไปดูระบำก็องก็อง* ที่ไนต์คลับในโรงแรมเทียนเฉิง ถึงขั้นจัดเตรียมให้คุณถังสาวพราวเสน่ห์นอนค้างคืนกับเธอ จุดประสงค์ก็คืออยากจะรักษา ‘โรค’ ของเธอ…
เสี้ยววินาทีนี้เหตุการณ์ในอดีตพลันพรั่งพรูออกมาเรื่องแล้วเรื่องเล่าราวกับฝากล่องแห่งความทรงจำถูกเปิดออก
ตอนนั้นเธอไม่รู้สึกอะไรจริงๆ แต่พอคิดขึ้นมาตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงน่าขำขนาดนั้นนะ…
หญิงสาวถึงกับมีแก่ใจหัวเราะออกมาในเวลาอย่างนี้
ซูเสวี่ยจื้อก้มหน้ายกมือปิดหน้าตนเอง หัวเราะขลุกขลักในลำคอพยายามไม่ให้เสียงลอดออกมาสุดกำลัง สุดท้ายเธอหัวเราะจนหัวไหล่สั่นน้อยๆ แต่ยังคงหัวเราะไปเรื่อยๆ ไม่หยุด พอเงยหน้าขึ้นเห็นเขามองมาด้วยสายตานิ่งขรึม เธอรีบกลั้นหัวเราะเต็มที่ เอ่ยขอโทษแล้วอธิบายว่า “ขอโทษที คุณอย่าเข้าใจผิดนะคะ เมื่อครู่จู่ๆ ฉันก็นึกถึงเรื่องเก่าๆ ของพวกเราเมื่อก่อน ตอนไปกินข้าวที่ร้านอาหารครั้งแรก…ตอนทะเลาะกันในห้องทำงานห้องนี้ของคุณ…ตอนหลังคุณพาฉันไปที่ไนต์คลับ…ยังมีคุณถัง…คุณถังเป็นคนมีเสน่ห์มากจริงๆ ตอนฉันเจอเธอหนแรกก็รู้สึกว่าเธอสวยมาก แล้วก็พูดตามตรงนะ ฉันอยากไปไนต์คลับนั่นอีกสักครั้งอยู่นิดหน่อย สาวๆ ที่นั่นเต้นรำกันได้สนุกน่าดูจริงๆ มิน่าพวกผู้ชายถึงชอบไปที่แบบนั้นกัน แม้แต่ชายไม่แท้อย่างฉันยังรู้สึกว่าดี…”
เขาไม่แสดงสีหน้าใดๆ เพียงมองดูเธอพูดจาเรื่อยเปื่อยไม่ปะติดปะต่อกันกลั้วเสียงหัวเราะไม่หยุดอย่างเงียบๆ
“เฮ่อฮั่นจู่ คุณไม่รู้สึกว่าน่าขำสักนิดเลยหรือ” เธอพูดต่ออย่างขบขัน
เขาไม่มีปฏิกิริยาดังเดิม เห็นอย่างนั้นเธอก็รู้สึกหมดสนุกโดยพลัน
ทั้งที่เธอเป็นฝ่ายโดนทิ้ง เหตุใดดูจากท่าทางของทั้งสองคนแล้วกลับเหมือนเธอทิ้งเขา เขาทำหน้าเศร้าสลดขมขื่นคับแค้นใจเหมือนอยู่ในงานศพ ส่วนเธอกลับไม่รู้สึกรู้สา หัวเราะอยู่คนเดียวได้ตั้งนานเหมือนคนบ้า
ซูเสวี่ยจื้อเริ่มหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่อีกพลางโคลงศีรษะอ่อนใจกับตนเอง สุดท้ายพอหัวเราะจนพอแล้วเธอก็นิ่งเงียบแล้วเหลือบมองนาฬิกาแขวนบนผนังปราดหนึ่ง
สิบนาทีผ่านไปแล้วในที่สุด