ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 129
ถึงแม้เขาจะโกรธเกลียดเยี่ยอวิ๋นจิ่นที่แย่งตำแหน่งของผู้หญิงที่เขารักไป แล้วก็ไม่ชอบนิสัยแข็งกร้าวของเธอ แม้แต่เวลาอยู่ในห้องก็ไม่อ่อนหวานมีเสน่ห์เย้ายวนใจแบบที่ผู้หญิงพึงมีแม้แต่น้อยนิด เฉยเมยจืดชืดจนน่าเบื่อ แต่พอได้ยินว่าเธอคบชู้สู่ชายก็ทนไม่ได้อีก เขาไม่กล้าไปหาผู้ชายท่าทางดุร้ายมีแผลเป็นบนหน้าคนนั้นก็เลยทะเลาะกับเยี่ยอวิ๋นจิ่นยกใหญ่ ห้ามเธอออกไปทำงานนอกบ้าน เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่แยแสสามี แต่งานชุมนุมผู้ค้าสมุนไพรประจำฤดูใบไม้ร่วงครั้งต่อมาจ้าวมังกรเจิ้งไม่ปรากฏตัวและไม่ได้คุ้มกันเรือของสกุลซูอีก
ด้วยเหตุนี้เยี่ยอวิ๋นจิ่นต้องดูแลนายท่านใหญ่สกุลซูที่นอนป่วยอยู่บนเตียงพร้อมๆ กับประคับประคองกิจการของสกุลซูด้วยกำลังตนเองคนเดียว ในปีที่สองที่แต่งเข้าสกุลซู เธออายุย่างสิบเก้าปี นายท่านใหญ่สิ้นลม งานศพในบ้านเพิ่งจบลงก็เกิดความวุ่นวายขึ้นอีก มีเจ้าหนี้จากข้างนอกจะมายึดบ้านแล้ว
ตอนนี้เธอถึงรู้ว่าสองปีนี้ที่สามีอยู่ข้างนอกชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง เพียงรอวันที่นายท่านใหญ่ตายเท่านั้น พอท่านนายท่านใหญ่ตายก็กลับมาขโมยโฉนดบ้านทันที ยังดีที่เขาไม่กล้าขายทั้งหมด แค่ขายบ้านครึ่งหนึ่งกับหน้าร้านไปพร้อมกัน ได้เงินมาแล้วก็ไปซ่อนตัว ไม่กล้าเจอหน้าเยี่ยอวิ๋นจิ่น
เยี่ยอวิ๋นจิ่นโกรธจนมือเท้าเย็นเฉียบ เป็นลมหมดสติไปเดี๋ยวนั้นเลย หลังจากฟื้นขึ้นมาก็ล้มป่วย
เธอเป็นผู้หญิงที่ชอบเอาชนะและกลัวเสียหน้าเป็นที่หนึ่ง ปกติเรื่องไม่ดีของทางนี้ ถ้าปิดบังได้เธอจะปิดบังไม่ให้ครอบครัวเดิมในเมืองเฉิงตูรู้แน่นอน แต่คราวนี้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตเกินไป กระดาษห่อไฟไม่อยู่* เยี่ยหรู่ชวนพี่ชายเธอได้ข่าวแล้วก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บุกไปหาน้องเขยจะดุด่าว่ากล่าวตัดความสัมพันธ์กัน ซูหมิงเซิ่งที่มีชนักปักหลังยังหลบหน้าไม่ยอมพบใครดังเดิม เยี่ยหรู่ชวนเป็นคนใจร้อน จึงพาน้องสาวกลับบ้านทันที
ซูหมิงเซิ่งอาจจะติดอยู่กับชีวิตฟุ้งเฟ้อไร้แก่นสาร รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่น แต่ไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา พอภรรยาไม่อยู่สกุลซูก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย ตัวเขาเองก็อยากดูแลกิจการของครอบครัวเพื่อพิสูจน์ศักดิ์ศรีของผู้ชายให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นได้เห็นอยู่เหมือนกัน จนใจที่ไม่มีความสามารถด้านนี้ อีกทั้งทนความลำบากไม่ไหว ดูแลกิจการไปได้แค่ไม่กี่วันก็หัวหมุนจนทำอะไรไม่ถูก ยอมบากหน้าไปรับเธอ คิดไม่ถึงว่าตอนขึ้นรถม้าจะสะดุดล้มขาแพลง ได้แต่ส่งซูจงไปบอกแทนว่าเขารู้สึกผิดและสำนึกตัวแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรับตัวนายหญิงกลับมาให้ได้
ซูจงไปที่บ้านสกุลเยี่ยพูดอธิบายแทนนายท่านและขอขมาซ้ำๆ เยี่ยหรู่ชวนยังไม่หายโมโห เพียงพูดว่าแล้วแต่น้องสาว
ด้านซูจงนั้นติดตามนายหญิงมาสองปี พอจะรู้นิสัยของเธอบ้างไม่มากก็น้อย ตอนเขาได้พบหน้าเยี่ยอวิ๋นจิ่น เขาไม่เอ่ยถึงว่าซูหมิงเซิ่งเป็นอย่างไรแม้แต่คำเดียว พูดแค่ว่าหลังจากเธอไม่อยู่กิจการค้ายาสมุนไพรของสกุลซูยุ่งเหยิงเละเทะไปหมด ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีลูกค้าไม่น้อยรอเจรจาเรื่องการค้าที่ยังค้างคาอยู่ก่อนหน้านี้อย่างร้อนใจ
กิจการค้ายาสมุนไพรของสกุลซูก็คือหยาดเหงื่อแรงงานของนายหญิง
เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่พูดอะไรสักคำ หลังผ่านไปหนึ่งคืนเธอก้าวขึ้นรถม้าเงียบๆ เข้าสู่เส้นทางที่มุ่งหน้ากลับไปยังเมืองซวี่
แม้ว่านายหญิงจะยอมกลับมาแล้ว แต่ระหว่างทางดูหดหู่เซื่องซึมใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาจึงจำต้องขับรถม้าไปเรื่อยๆ ไม่กล้าเร่งเดินทาง
เมืองเฉิงตูถึงเมืองซวี่ที่ปกติใช้เวลาเดินทางสามสี่วันกลับลากยาวถึงห้าวันเต็มๆ ตอนบ่ายของวันที่ห้าจึงไปถึงตัวเมือง
เดิมทีถ้ารีบร้อนหน่อยจะเดินทางต่อไปเลยก็สามารถไปถึงบ้านสกุลซูได้ตอนช่วงค่ำๆ
ทว่าซูจงเห็นนายหญิงคล้ายไม่อยากเร่งเดินทางอีก จึงจัดหาที่พักค้างคืน ตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นค่อยไปต่อ
คืนนั้นเองก็เกิดเรื่องนั้นขึ้น เรื่องที่ทำให้ซูจงคิดขึ้นมาตอนนี้ก็ยังอกสั่นขวัญแขวน ในใจสับสนปนเปไปด้วยความรู้สึกนานัปการเช่นเดิม
ยามดึกสงัดซูจงกำลังครุ่นคิดเรื่องของนายหญิงอยู่ตามลำพังจนนอนไม่หลับ จู่ๆ ได้ยินเสียงเปิดประตูลอยมาจากห้องติดกันที่เธอพักอยู่ ดูเหมือนเธอจะออกไปข้างนอก เขาไม่วางใจเลยลุกลงจากเตียงตามไป เห็นเธอมุ่งหน้าไปทางท่าเรือคนเดียว เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่ตามหลังอยู่ห่างๆ สุดท้ายเห็นเธอไปละแวกใกล้ๆ อู่เรือที่เป็นแหล่งชุมนุมของลูกเรือแห่งหนึ่ง
เธอนัดพบผู้ชายคนหนึ่งที่ริมน้ำตอนกลางดึก ทั้งคู่ยืนหันหน้าเข้าหากัน
ขณะนั้นรอบด้านมืดมาก กอปรกับอยู่ค่อนข้างห่าง ทว่าซูจงยังจำได้ว่าผู้ชายคนนั้นคือจ้าวมังกรเจิ้ง
ทีแรกซูจงก็ตกตะลึงอยู่แล้ว เขาคิดไม่ถึงว่านายหญิงที่เข้มแข็งเป็นนิจถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าจ้าวมังกรเจิ้งอีกด้วย
เขาได้ยินเสียงพูดของเยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ปะติดปะต่อกันว่าเธอไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว พี่ชายของเธอก็ไม่บังคับให้เธออยู่ที่สกุลซูต่อ ขอแค่เขาพยักหน้า เธอไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น เมื่อได้หนังสือหย่ามาแล้วก็จะอยู่กินกับเขาหลังจากนี้
‘…ถ้าคุณกลัวคนนินทา คุณจะพาฉันไปจากที่นี่ก็ได้ ไปในที่ไกลๆ ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเรา…คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการหาเงินเลี้ยงปากท้องในวันข้างหน้า แล้วก็ไม่ต้องตีรันฟันแทงอย่างทุกวันนี้ ฉันทำการค้าเป็น พวกเราเปิดร้านขายของ ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ…’
ตอนแรกจ้าวมังกรเจิ้งนิ่งเงียบไปก่อน นานสองนานถึงเอ่ยปฏิเสธนายหญิง บอกว่าเขาไม่ใช่คนดิบดีสักนิด เป็นพวกที่มีแต่ปัจจุบันไม่มีอนาคต จะทำให้เธอเดือดร้อนไปด้วย
‘ฉันไม่กลัวเดือดร้อน! ขอแค่คุณไม่รังเกียจฉัน ฉันก็ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น’ น้ำเสียงของนายหญิงราวกับแฝงรอยวิงวอนไว้
ทว่าจ้าวมังกรเจิ้งใจแข็งเหมือนหิน ไม่ว่าเธอจะร่ำไห้อ้อนวอนเช่นไร ผู้ชายตรงหน้ากลับไม่หวั่นไหวสักนิด
อารมณ์ของนายหญิงค่อยๆ สงบลงทีละน้อย จนเธอหยุดร้องไห้ในที่สุด
‘ที่แท้ฉันเข้าใจผิดไปเอง นึกว่าคุณก็มีใจให้ฉันเหมือนกัน ช่างน่าขายหน้าจริงๆ’
เธอพยักหน้าบังคับเสียงไม่ให้สั่นขณะพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ‘ขอโทษด้วยที่มารบกวนคืนนี้’
เธอหันหลังจะกลับไป
เธอออกเดินไปสองสามก้าว จ้าวมังกรเจิ้งที่นิ่งเงียบโดยตลอดเมื่อครู่นี้พลันไล่ตามมา