จ้าวมังกรเจิ้งเอ่ยถึงคดีวางระเบิดรถไฟในตอนนั้น
ถึงเขาจะเล่าอย่างรวบรัด แต่ในความรู้สึกของเยี่ยอวิ๋นจิ่นมันยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความหวาดผวาให้เธอถึงขีดสุด
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่บอกฉันแต่แรก!” เธอตวาดแหว
“ฉันกลัวเธอรู้แล้วจะเป็นห่วง อีกอย่างเสวี่ยจื้อก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นเลยไม่ได้บอกเธอ”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นกำมือเป็นหมัดแน่นๆ จนข้อนิ้วขาวซีด เธอพูดพึมพำ “หมายความว่าตอนนั้นเป้าหมายของนักฆ่าคือหลานชายสกุลเฮ่อ แต่เสวี่ยจื้อไปนั่งที่นั่งบนรถไฟของเขาโดยไม่ตั้งใจ ถึงได้เกือบเคราะห์ร้ายอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ ตอนนั้นหลานชายสกุลเฮ่อได้ข่าวก็ไล่ตามรถไฟไปช่วยเสวี่ยจื้อไว้แบบไม่คิดชีวิต บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงมาก ฉันต้องตอบแทนเต็มที่ แต่ว่าอวิ๋นจิ่น เธอคิดดูนะ เหตุการณ์ในขณะนั้นล่อแหลมวิกฤตมาก เรียกได้ว่าสวรรค์ยังมีตา เสวี่ยจื้อถึงได้รอดพ้นอันตรายมาได้อย่างปลอดภัย ถ้าหากหลานชายสกุลเฮ่อช้าไปก้าวเดียว หรือว่าเสวี่ยจื้อถึงคราวชะตาขาด…” เขาหยุดพูดกลางคัน
ชีวิตนี้เขาประสบคลื่นลมมรสุมเฉียดกรายผ่านประตูนรกมาตั้งไม่รู้กี่หนต่อกี่หน เห็นความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดามานานแล้ว
ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวที่จ้าวมังกรเจิ้งเพียงคิดขึ้นมาก็จะใจสั่นไม่หาย
ฝ่ายเยี่ยอวิ๋นจิ่นยิ่งหน้าบึ้งตึงมากขึ้น
“ด้วยเหตุนี้เมื่อตอนต้นปีพอฉันรู้ว่าเสวี่ยจื้ออยู่กับเขาตามลำพังในวันสิ้นปี ฉลองปีใหม่กันสองต่อสองในบ้านเขาที่ชานเมืองตะวันตกของเมืองหลวง ฉันก็ไม่วางใจแล้ว พอดีช่วงนั้นเกิดเหตุวุ่นวายในกวนซี ฉันถึงยื่นมือช่วยหลานชายสกุลเฮ่อ ฉันเดาได้ว่าเขาต้องกลับมาขอบคุณฉันในภายหลัง เดือนก่อนเขาปราบจลาจลที่กวนซีได้ก็มาหาฉันจริงๆ ฉันลองถามหยั่งเชิงดู แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ เขากับเสวี่ยจื้อ…” เขาหยุดพูดเป็นครั้งที่สอง
นับจากที่พบหน้ากันตอนนั้นก็ผ่านไปพักหนึ่งแล้ว กระนั้นยามเอ่ยถึงเรื่องนี้จ้าวมังกรเจิ้งยังขมวดคิ้วน้อยๆ ดวงตาลึกโหลทั้งคู่บนใบหน้าที่ซูบผอมลงก็ฉายรอยขุ่นเคืองจางๆ ดุจเก่า
เยี่ยอวิ๋นจิ่นอาบน้ำร้อนมาก่อน เห็นสีหน้านี้ของเขาก็เดาความหมายที่ซ่อนอยู่ในประโยคที่เขาไม่ได้พูดออกมาได้
คนหนึ่งเป็นผู้ชายที่ยังหนุ่มแน่นเลือดลมสูบฉีดพลุ่งพล่าน อีกคนเป็นหญิงสาวสะพรั่งมุทะลุไร้เดียงสาที่ไปอยู่ต่างถิ่นไกลบ้านไม่มีคนชี้แนะอยู่ข้างตัว…ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อๆ กันไม่ขาดสายล้วนเป็นเรื่องไม่คาดฝันจนเธอตั้งตัวไม่ติด
เยี่ยอวิ๋นจิ่นพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแม้สักประโยคเดียวไปชั่วขณะ
คนแซ่เจิ้งเป็นพวกใจไม้ไส้ระกำอยู่หรอก แต่เวลาจะพูดจะทำอะไรก็ไม่ใช่คนที่เชื่อถือไม่ได้
ในเมื่อเขาพูดว่าใช่ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใช่แน่
สมัยเยี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่ในวัยเดียวกับลูกสาว ช่วงอายุสิบแปดสิบเก้าเธอก็พาลูกน้องออกไปดูตลาดทำการค้าตามที่ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ สำหรับเรื่องการวางตัวในสังคมและการรู้เท่าทันคนนั้นเรียกได้ว่าเป็นทักษะพื้นฐานของการเอาตัวรอดเลยทีเดียว
แต่ในสายตาของเธอตอนนี้ยังมองเห็นลูกสาวที่กำลังอายุสิบแปดสิบเก้าเช่นกันเหมือนเป็นเด็กอยู่เสมอ ใสซื่อบริสุทธิ์ดุจผ้าขาว ไม่รู้ว่าความโหดร้ายของโลกใบนี้เป็นอย่างไร
พอเธอตั้งสติได้แล้วก็เริ่มโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“คนแซ่เฮ่อทำเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้อย่างไรกัน” เธอโมโหจนเสียงสั่น “มิน่าคราวก่อนที่เขามาถึงได้ให้เกียรติฉันขนาดนั้น! ฉันยังพูดอยู่ว่าเขามีอัธยาศัยไมตรีไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง! ถึงว่าอยู่ดีๆ ก็มาทำดีด้วย ที่แท้เป็นพวกคิดไม่ซื่อ! ฉันมองคนผิดเองหรือนี่ น่าอายที่สุด เขาเลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน!”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลานชายสกุลเฮ่อที่ดูท่าทางสง่าผ่าเผยและสุภาพมีมารยาทจะดีแค่เปลือกนอก แต่นิสัยใจคอต่ำช้าเลวทรามเพียงนี้
คำภาษิตว่าไว้ว่ากระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง* เขากลับทำกับลูกสาวของเธอแบบนี้ได้ลงคอ ส่วนเธอกับพี่ชายไม่เพียงเชื่อใจเขาทุกอย่าง ยังซาบซึ้งในบุญคุณยกใหญ่โดยไม่ระแวงแคลงใจสักนิด
น่าเยาะเย้ยสิ้นดี ซ้ำยังน่าโมโหด้วย!
ถึงยังไม่รู้ว่าเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของลูกสาวเธอได้อย่างไร แต่ไม่ต้องคิดก็เดาได้ว่าหลังจากเขาจับได้ต้องใช้ฐานะที่เหนือกว่าเอาเปรียบลูกสาวผู้ไร้เดียงสาของเธอที่เพิ่งออกไปผจญโลกภายนอก
เขาต้องเป็นฝ่ายล่อลวงเสวี่ยจื้อ ต้องเป็นแบบนี้แน่!
เยี่ยอวิ๋นจิ่นก่นด่าไปหลายคำแล้วยังไม่หายแค้น กลับโกรธเคืองและเสียใจภายหลังสุดจะกล่าว เธอตำหนิตนเองไม่หยุด
“ต้องโทษฉันคนเดียว! ตอนนั้นฉันไม่ควรให้เสวี่ยจื้อไปไกลบ้านขนาดนั้นคนเดียวเพราะอยากพึ่งบารมีญาติอะไรก็ไม่รู้ เหตุใดฉันไร้สติอย่างนั้นนะ ถึงได้เชื่อว่าคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะคอยดูแลเสวี่ยจื้อจริงๆ กิตติศัพท์ของเขาก็ออกจะฉาวโฉ่แบบนั้น ใช่ว่าฉันไม่รู้…”