นี่คือสุดยอดความปรารถนาของเขา
ขณะนี้เขายังไม่รู้ว่าตนเองจะตายวันตายพรุ่ง ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะขอแต่งงานหรือให้คำมั่นใดๆ
ถึงอย่างนั้นสำหรับเขาแล้ว นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้น
ความแค้นเป็นหน้าที่ที่เขาหลบเลี่ยงไม่ได้ในฐานะลูกหลานสกุลเฮ่อ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต เขาก็ไม่นึกเสียดาย ทว่ามันก็เป็นโอกาสเหมาะเช่นเดียวกัน ก่อนที่เขาจะให้คำสัญญาต่อซูเสวี่ยจื้อ เขาจำเป็นต้องสร้างอนาคตใหม่ให้ตนเอง อนาคตที่ให้สิทธิ์เขาไปเอ่ยปากสู่ขอเธอจากเยี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างเต็มภาคภูมิ
ตอนท้ายจดหมายเขาเขียนว่าถ้าเขาสามารถกลับมาอย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นยังโชคดีที่ได้รับการยอมรับและเข้าอกเข้าใจ เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดปกป้องเธอให้อยู่ดีมีสุขไปตราบจนวันตาย
‘ทุกถ้อยทุกคำข้างต้นกลั่นมาจากใจ หากมีสิ่งใดล่วงเกิน ผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
ด้วยความเคารพยิ่ง…เฮ่อฮั่นจู่’
เยี่ยอวิ๋นจิ่นอ่านใจความจดหมายถึงคำสุดท้ายแล้วจิตใจของเธอก็สงบลง ความโกรธจางหายไป ทว่าสีหน้าเริ่มปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลากทีละน้อย
เธอนิ่งเงียบไปเป็นนานถึงเงยหน้าขึ้นมองจ้าวมังกรเจิ้งที่อยู่เบื้องหน้า
เยี่ยอวิ๋นจิ่นสะกดอารมณ์ที่สับสนยุ่งเหยิงในใจไว้แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “คุณเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
จ้าวมังกรเจิ้งอ่านจดหมายฉบับนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบจนจดจำเนื้อความได้ขึ้นใจ ครั้นได้ยินเธอถามขึ้น เขาก็อดลังเลใจไม่ได้
ครั้งนั้นเขาไม่ได้พาเยี่ยอวิ๋นจิ่นหนีไปตามคำขอของเธอ ข้อแรกเพราะไม่อยากให้เธอเดือดร้อน ข้อสองเพราะเขาไม่อาจละทิ้งความรับผิดชอบทุกอย่างโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ต่อมาหลังจากคืนนั้นเขาไม่แอบติดต่อกับเธออีก เพราะกลัวจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าข่าวลือเป็นความจริง ทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียง
เธอเป็นหัวหน้าสกุลซู หากเรื่องแบบนี้ถูกคนจับได้ ตัวเขาไม่เป็นไร แต่สำหรับเธอแล้วไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน
เขาปล่อยให้เธอตกที่นั่งลำบากไม่ได้เป็นอันขาด
อีกอย่างเขาแจ่มแจ้งดีแก่ใจว่าหลังจากซูเสวี่ยจื้อ ‘คุณชาย’ สกุลซู ลูกของเขากับเธอค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น ก็ไม่เป็นมิตรกับเขาเพราะเขาคือคนนอกที่เป็นชู้กับแม่เธอตามข่าวลือ
ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่คาดหวังอะไรมานานแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือคุ้มครองพวกเธออยู่ในที่ลับ
สองปีนี้เยี่ยอวิ๋นจิ่นกับพี่ชายของเธอทางเมืองเฉิงตูเจอสวินต้าโซ่วระรานราวี เขาก็รู้เรื่องดี ปีที่แล้วเขาได้ข่าวว่าเยี่ยหรู่ชวนอาจถูกปองร้ายถึงได้รีบรุดไปช่วยไว้
เดิมทีเขาวางแผนไว้ว่าหากสวินต้าโซ่วยังคุกคามพวกเธอต่อ เขาก็จะลงมือแล้ว คิดไม่ถึงว่าเยี่ยอวิ๋นจิ่นกับพี่ชายจะพบลู่ทางอื่นคือติดต่อกับเฮ่อฮั่นจู่ และส่งลูกสาวไปเรียนหนังสือที่เมืองเทียน ถึงได้จับพลัดจับผลูเกิดเรื่องต่างๆ ตามมามากมายในตอนนี้
ก่อนได้รับจดหมายฉบับนี้ของเฮ่อฮั่นจู่ จ้าวมังกรเจิ้งก็รู้ข่าวว่าทางเมืองหลวงเกิดเหตุพลิกผันกะทันหัน คาดเดาว่าชายหนุ่มกับลู่หงต๋าศัตรูของสกุลเฮ่อน่าจะใกล้ปะทะกันแล้ว
หลังได้รับจดหมายหลายวันนี้บอกตามตรงว่าในใจเขาก็ไตร่ตรองซ้ำๆ คิดอะไรต่อมิอะไรไม่น้อย
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพวกนอกกฎหมาย อีกอย่างเขาอายุมากแล้ว หลังพบกับเหตุร้ายคราวนี้ก็หวั่นใจว่าตัวเขาคงเหลือเวลาอีกไม่มาก
เหนือสิ่งอื่นใดต่อให้เขายังอยู่ บางครั้งเขาก็ไม่สามารถยื่นมือไปดูแลได้อย่างทั่วถึง แล้วทันทีที่เขาตายลง พวกเธอสองแม่ลูกจะปลอดภัยไปได้อีกนานแค่ไหน
เขาเอ่ยปากขึ้นอย่างตัดสินใจได้ในที่สุด “ครั้งก่อนที่ฉันเอ่ยถึงขุมสมบัติกับเขา เพราะอยากหยั่งความรู้สึกที่เขามีต่อเสวี่ยจื้อ ถ้าเขาเอาสมบัติไม่เอาเสวี่ยจื้อ แบบนั้นก็จะดีที่สุด สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป ตอนนี้ดูแล้ว นอกจากเขาจะใจเร็วด่วนได้กับเรื่องของเสวี่ยจื้อไปสักนิด คิดอ่านไม่รอบคอบ แต่อย่างอื่นก็ไม่ได้ย่ำแย่เหลือทนขนาดนั้น แล้วดูจากที่เขาเขียนมาในจดหมาย ก็พอจะนับว่าเป็นคนรู้จักแยกแยะและมีความบริสุทธิ์ใจอยู่บ้างนะ”
เขากล่าวต่อว่า “วันนี้ฉันได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งจากทางเมืองเทียน กองกำลังฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้จวนจะทำสงครามกันแล้ว นี่เป็นอุปสรรคด่านหนึ่งของหลานชายสกุลเฮ่อ เขาเป็นผู้ชาย ต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยตนเอง หากเขาฝ่าด่านนี้ไปไม่ได้ นั่นก็เป็นชะตาฟ้าลิขิต เขาไม่ใช่คนของเสวี่ยจื้อ แล้วก็ไม่มีความสามารถที่จะปกป้องเสวี่ยจื้อได้ เลิกกันเร็วขึ้นก็เป็นผลดีต่อเสวี่ยจื้อเหมือนกัน แต่ถ้าเขาผ่านมาได้ แล้วอีกหน่อยเสวี่ยจื้อเองยังเต็มใจอยู่กับเขา ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่มีความเห็นอย่างอื่นแล้ว วันหลังฉันช่วยเขาได้เท่าไหน ฉันก็จะพยายามช่วยเขาเท่านั้นอย่างเต็มที่”
เขาหยุดพูดแล้วมองเธอ ดวงตาที่ล้อมกรอบด้วยร่องลึกคู่นั้นแฝงประกายอ่อนโยน “เพียงแต่ฉันคิดว่าเธอเป็นแม่ของเสวี่ยจื้อ เรื่องนี้เป็นความสุขชั่วชีวิตของลูก มีแค่เธอเท่านั้นที่ตัดสินได้ ถึงได้ถือวิสาสะเชิญเธอมาคืนนี้ เพื่อให้เธอได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เธอจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไร”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นน้อยๆ มองเขา
ผู้ชายตรงหน้าไม่ได้เป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ดังเช่นในวันวาน ใบหน้าเขาซูบตอบ จอนผมมีเส้นผมสีขาวแซมประปราย
ครู่ใหญ่เธอกล่าวโพล่งขึ้น “ผ่านมาตั้งนานหลายปีฉันนึกว่าคุณไม่สนใจไยดีเสวี่ยจื้อ…”
น้ำเสียงของเธอไม่มั่นคงนัก เธอกำลังพูดอยู่ก็เบือนหน้าไปทางอื่นกะทันหัน รอกระทั่งกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าเมื่อครู่กลับลงไปแล้วถึงหันกลับมาพยักหน้า “ถึงที่สุดแล้วคุณยังมีหัวอกของคนเป็นพ่ออยู่บ้าง”