จ้าวมังกรเจิ้งนิ่งเงียบ
เยี่ยอวิ๋นจิ่นไม่มองเขาอีก ก้มหน้าก้มตาอ่านจดหมายฉบับนั้นอีกรอบหนึ่งแล้วนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ลูกสาวไม่ใช่ของฉันคนเดียว ในเมื่อคุณนับเสวี่ยจื้อเป็นลูก เรื่องนี้ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด ทำตามที่คุณเห็นควรเถอะ ฉันอยากถามแค่ข้อเดียวว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตอนนี้เสวี่ยจื้อเป็นอย่างไรบ้าง”
ที่เธอกังวลใจที่สุดคือลูกสาวเป็นพวกสุดโต่ง ถ้าเกิดรับไม่ได้ขึ้นมาล่ะ…
จ้าวมังกรเจิ้งตอบ “เธอวางใจได้ เรื่องนี้ไม่น่าจะส่งผลกับลูกมากนัก ได้ยินว่าหลายวันนี้ลูกทำงานง่วนอยู่ในห้องปฏิบัติการของวิทยาลัยตลอด”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นฟังแล้วระบายลมหายใจออกช้าๆ เธอนั่งต่ออีกครู่หนึ่ง เห็นจ้าวมังกรเจิ้งไม่พูดอะไรอีกก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ
“ฉันไปละ” เธอลุกขึ้นยืนดึงหมวกของเสื้อคลุมที่ดึงลงเมื่อครู่ขึ้นคลุมศีรษะ หันหลังเดินไปทางข้างนอกโดยไม่มองเขาซ้ำแม้แต่แวบเดียว
ส่วนเขายืนอยู่ที่เดิมมองส่งเธอจนลับร่างไปตรงประตูบานนั้น
รอจนเธอออกไปแล้ว จ้าวมังกรเจิ้งซึ่งยืนจนถึงตอนนี้ก็ฝืนทนไม่ไหวในที่สุด เอามือเกาะขอบโต๊ะถึงทรงตัวไว้ได้
ฝ่ายเยี่ยอวิ๋นจิ่นหลังออกจากห้องมาแล้วเห็นว่าด้านหลังยังคงเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงเรียกเป็นเชิงรั้งตัวเธอไว้สักคำเดียวอยู่จนแล้วจนรอด ถึงเธอจะรู้แก่ใจดีว่าผู้ชายคนนี้ใจแข็งเป็นหิน ถึงผ่านมาแบบนี้ได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว ทว่าความโกรธเคืองในครั้งนั้นยังติดอยู่ในใจ ส่งผลให้เธออึดอัดงุ่นง่านไปหมด
เธอย่ำเท้าเดินไปตามพื้นไม้กระดานได้ไม่กี่ก้าวก็มองเห็นหวังหนีชิวเฝ้าอยู่ตรงเชิงบันไดแต่ไกลเพื่อรอส่งเธอออกไป เธอหยุดฝีเท้าอย่างลังเลใจชั่วครู่ สุดท้ายก็สะกดความโกรธไว้ไม่อยู่
ในเมื่อเจอหน้ากันแล้ว หากไม่ถามออกมาแล้วกลับไปแบบนี้ เห็นทีว่าเธอคงอัดอั้นใจตาย
เธอขบกรามแน่น หมุนตัวขวับเดินกลับไปเปิดประตูผลัวะ “คนแซ่เจิ้ง ถ้าวันนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องของลูกสาวเรา ชาตินี้ถึงตายก็ไม่คิดจะพบหน้าฉันอีกสักครั้งใช่ไหม…”
เสียงพูดของเยี่ยอวิ๋นจิ่นขาดหายไปกลางคันพร้อมกับหยุดยืนนิ่งกับที่ พอเธอตั้งสติได้ก็ถลันเข้าไปจับแขนของจ้าวมังกรเจิ้ง “เป็นอะไรไป”
ใบหน้าของเขาซีดเหลือง หน้าผากมีเหงื่อผุดซึมจนทั่ว สภาพต่างจากที่เธอเห็นเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคนกัน
เยี่ยอวิ๋นจิ่นนึกถึงเรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บก่อนนี้ขึ้นได้ฉับพลันแล้วใจหายวาบ “อาการของคุณยังไม่หายดีหรือ เป็นอย่างไรบ้าง ยังทนไหวไหม”
เธอลุกลนหันไปจะเรียกหวังหนีชิวเข้ามา
“ไม่ต้อง เธอพยุงฉันนั่งลงตามเดิม พักสักครู่ก็พอ” จ้าวมังกรเจิ้งบอกเสียงแผ่วเบา
เธอได้แต่พยุงเขาไว้ เอาหัวไหล่ของตนเองยันลำตัวท่อนบนของเขา ให้เขาใช้เป็นที่พิงขณะนั่งกลับลงบนเก้าอี้ช้าๆ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก คราวก่อนไม่ทันระวังตัวให้ดี คิดไม่ถึงว่าเจ้าหกจะสมคบคนนอกเล่นงานฉันถึงได้พลาดท่า เพราะใบมีดทาพิษอูโถวไว้ แผลถึงหายได้ไม่เร็วขนาดนั้น” เขาเอ่ยอธิบาย “ฉันดวงแข็ง เจ้าสามยังตามหมอเก่งๆ มารักษาฉันหลายคน ฉันไม่ตายง่ายๆ อย่างนั้นหรอก เธอไม่ต้องเป็นห่วง”
จ้าวมังกรเจิ้งพิงพนักเก้าอี้ เห็นเยี่ยอวิ๋นจิ่นมีสีหน้าร้อนรนแล้วยิ้มน้อยๆ พูดปลอบเธออีกครั้ง
เยี่ยอวิ๋นจิ่นยื่นฝ่ามือไปอังหน้าผากเขา สัมผัสถึงไอร้อนเล็กน้อยก็รู้ว่าเขามีไข้ต่ำๆ เธอทั้งสงสารทั้งโมโห ก่นด่าสาปแช่งหัวหน้าหกหลายคำแล้วฉุกคิดขึ้นได้
“จริงสิ! เสวี่ยจื้อ! ฉันได้ยินพี่ชายฉันบอกว่าเสวี่ยจื้ออยู่ทางนั้นผลการเรียนไม่เลวเลย ตอนปิดเทอมฤดูหนาวปีก่อนยังไปร่วมงานสัมมนาวิชาการแพทย์นานาชาติอะไรสักอย่างด้วย ฉันจะให้ลูกกลับมาดูอาการให้ ถึงลูกรักษาไม่ได้ แต่ก็ต้องรู้จักหมอฝรั่งเก่งๆ บ้าง”
“ฉันเคยให้หมอฝรั่งตรวจแล้ว เธอไม่ต้องรบกวนลูก” จ้าวมังกรเจิ้งบอกปัดโดยไม่ต้องคิด
“ไม่ได้! หมอทางโน้นต้องไม่เหมือนกันแน่ รอก่อนนะ ฉันจะกลับไปส่งโทรเลขถึงลูกเดี๋ยวนี้เลย”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นหมุนตัวจะออกไปอย่างรีบร้อนพลันรู้สึกอุ่นผ่าวๆ ที่มือ เธอหันหน้าไปเห็นเขาเอื้อมแขนมาคว้ามือเธอ
เธอนิ่งงันไป ชะงักฝีเท้ามองมือที่กุมมือเธอไว้ข้างนั้นของเขา
* กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรัง หมายถึงคนจะไม่ทำสิ่งไม่ดีในพื้นที่ของตนเองเพราะมีแต่จะเสียประโยชน์
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 2567)