ซูเสวี่ยจื้อผ่านพ้นห้องโถงด้านหน้าโรงแรมมาได้อย่างราบรื่น ทิ้งเสียงอึกทึกครึกโครมไว้ทางด้านหลังไม่ทันไรก็เห็นรองอธิบดีกรมสาธารณสุขเพิ่งออกมาจากห้องน้ำข้างหน้า
เพื่อนร่วมงานที่พบเจอกันเป็นประจำย่อมต้องคุ้นหน้าคุ้นตากันมากที่สุด ทว่ารองอธิบดีกลับมองข้ามซูเสวี่ยจื้อที่เดินสวนมาอย่างไม่สนใจ
นั่นก็เพราะว่าคืนนี้เขาเห็นผู้หญิงที่แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศอย่างพิถีพิถันแบบนี้อยู่ดาษดื่นในโรงแรมหรูหราแห่งนี้
ขณะเดินสวนมาใกล้ๆ เธอก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ด้วยกัน
“…ได้ยินว่าเจ้าบ่าวไม่อยากแต่งงานหรือ เมื่อครู่คนด้านข้างผมพูดกันใหญ่ คุณรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรบ้างหรือเปล่า” เพื่อนของเขากระซิบถาม
“อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านเลย แล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรยุ่งด้วย…”
สายตาของรองอธิบดีมองตรงไปข้างหน้าจึงสังเกตเห็นหญิงสาวซึ่งเดินสวนมาในที่สุด ริมฝีปากสีแดงที่โผล่พ้นผ้าลูกไม้ประดับหมวกของเธอดึงดูดให้เขาชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง จากนั้นก็ออกเดินต่อโดยไม่ได้ใส่ใจใดๆ
จุดนี้อยู่ห่างจากประตูหลังของโรงแรมไม่ไกล เดินอีกไม่กี่สิบเมตรไปจนสุดทางเดินช่วงนี้แล้วเลี้ยวขวาก็จะถึง
ซูเสวี่ยจื้อไม่กล้าเดินเร็วเกินไปด้วยกลัวสะดุดตาคน เธอแค่เร่งฝีเท้าเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าในจังหวะนี้เองประตูห้องพักผ่อนห้องหนึ่งฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ ห่างไปเพียงสิบเมตรเศษจะเปิดผลัวะและมีคนเดินออกมา
เธอใจกระตุกวูบหนึ่ง
หวังถิงจือหรือนี่!
เธอเห็นเขาเอาสองมือล้วงกระเป๋า ก้าวขาออกจากประตูเดินดุ่มๆ ตรงมาโดยไม่เหลียวซ้ายแลขวา
“เดี๋ยวก่อน เนกไทเธอ!” ถงกั๋วเฟิงไล่ตามออกมาจับเนกไทที่หลานชายดึงจนเบี้ยวให้เข้าที่
หวังถิงจือหยุดยืนด้วยสีหน้าไม่อนาทรร้อนใจแกมหงุดหงิดอยู่บ้าง ระหว่างรอให้น้าชายช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยเขาก็เบือนหน้าไปอีกทาง ก่อนจะเห็นผู้หญิงสวมชุดฝรั่งดัดผมลอนคนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา
เธอน่าจะเป็นหญิงสาวที่อ่อนเยาว์มาก สวมกระโปรงสีม่วงกับหมวกติดผ้าลูกไม้และขนนกสีม่วงเม็ดมะปรางเข้าคู่กันอยู่บนเรือนผมดัดลอนจัดทรงอย่างประณีต รูปร่างสมส่วนโค้งเว้าได้รูป ช่วงเอวเล็กคอดกิ่ว เธอสวมรองเท้าส้นสูงเดินเยื้องย่างด้วยฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้า ท่วงท่าคล่องแคล่วสง่างาม ใต้แสงจากดวงไฟเหนือศีรษะตรงระเบียงทางเดินชายกระโปรงของเธอพลิ้วไหวละม้ายระลอกคลื่น ทั้งยังคล้ายดอกไม้เบ่งบานตามจังหวะรองเท้ากระทบพื้นเสียงดังแผ่วเบา
ในเมืองหลวงมีตระกูลเศรษฐีอยู่มากมาย คุณหนูสมัยใหม่ที่ดูมีสง่าราศีประเภทนี้พบเห็นได้เกลื่อนกล่นจนหวังถิงจือชินตามานานแล้ว เขาเหลือบมองแวบหนึ่งอย่างเฉยชาแล้วดึงสายตากลับ เห็นถงกั๋วเฟิงยังง่วนอยู่กับเนกไทของเขาจึงลงมือเองอย่างรำคาญใจ จากนั้นก้าวขาเดินสวนไหล่กับเธอ
หวังถิงจือเดินไปสองสามก้าว ความรู้สึกแปลกพิกลบางอย่างพลันวาบผ่านเข้ามาในใจ แต่เขาบอกไม่ถูกในชั่วขณะว่ามันคืออะไร
เขาหยุดฝีเท้าลงอย่างลังเลใจ มองเหลียวหลังไปเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินจนสุดทางแล้วเลี้ยวไป
ชายกระโปรงสีม่วงปลิวสะบัดทีหนึ่ง ร่างของเธอหายลับตาไปแล้ว
ถงกั๋วเฟิงพูดเร่ง “ไปเถอะ! อย่ามัวโอ้เอ้เลย ถิงจือ เธอทนต่ออีกสักนิดเถอะ แค่คืนนี้เท่านั้น…”
ความรู้สึกชวนฉงนฉงายที่ผุดขึ้นมากะทันหันพลันเลือนหายไป หวังถิงจือหันหน้ากลับแล้วสาวเท้าเดินต่อ
ด้านซูเสวี่ยจื้อเลี้ยวผ่านหัวมุมทางเดินมาถึงประตูหลังของโรงแรมอย่างราบรื่น
การรักษาความปลอดภัยในค่ำคืนนี้จะเข้มงวดเฉพาะคนเข้ามา ไม่ได้ห้ามแขกออกนอกโรงแรม ซูเสวี่ยจื้อดึงปีกหมวกต่ำลงขณะเดินผ่านเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบสองคนซึ่งคอยเฝ้าดูประตูหลังออกไปด้วยท่าทางปกติ จากนั้นเดินเข้าไปในตรอกตรอกหนึ่งแถวนั้น
เธอนัดหมายกับติงชุนซานว่าจะแอบออกมาขึ้นรถก่อนสิบเก้านาฬิกา หากเลยเวลาแล้วเธอยังไม่ปรากฏตัวแสดงว่าเจอปัญหา ให้เขาไปทันทีไม่ต้องรอเธอ