ด้านหลังต้นอู๋ถงห่างจากซูเสวี่ยจื้อไปสิบกว่าก้าว ผู้ชายร่างสูงเพรียวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ในเงามืด เขาสวมเสื้อโค้ตธรรมดาๆ กับหมวก ปกเสื้อยกตั้งขึ้นกันลม หากเดินอยู่บนถนนคงไม่มีใครเหลียวมองซ้ำแน่
เขารออยู่ตรงนี้มาครู่หนึ่งแล้วจึงก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งโดยอาศัยแสงไฟสีแดงสลัวๆ ที่สาดส่องมาจากหน้าร้านค้าฝั่งตรงข้าม
เหลืออีกไม่ถึงห้านาทีจะถึงเวลาสิบเก้านาฬิกาที่นัดหมายกันไว้
แต่เธอยังไม่ออกมา
หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหานิดหนึ่ง ก่อนเงยหน้าทอดสายตามองไปทางโรงแรมที่มีแสงไฟสว่างพร่างพรายซึ่งอยู่ถัดไปอีกถนน ตอนเบือนหน้ากลับมาเหลือบดูปากตรอกห่างไปไม่ไกลเบื้องหน้าสายตาของเขาพลันหยุดนิ่งอยู่ที่ร่างร่างหนึ่งในชุดสีม่วงซึ่งปรากฏขึ้นตรงนั้น
ชั่วขณะนั้นสองเท้าของเขาราวกับถูกตรึงติดกับพื้น ก้าวขาไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว
ซูเสวี่ยจื้อเดินมาถึงริมถนนอย่างเร่งรีบแล้วกำลังจะเรียกรถลากที่ผ่านมาคันหนึ่ง ตอนนี้เองคล้ายมีเสียงเรียกชื่อเธอเบาๆ ลอยมากับลมทางด้านหลัง
“เสวี่ยจื้อ?” น้ำเสียงนี้ฟังดูไม่ค่อยแน่ใจอยู่สักหน่อย
แต่กระนั้นเสียงเสียงนี้กลับคุ้นหูเธอมาก
เสี้ยววินาทีที่มันดังกระทบหูซูเสวี่ยจื้อก็นิ่งงันไปทันใด พอตั้งสติได้เธอก็หันหน้าขวับกลับไป
ผู้ชายคนหนึ่งออกมาจากเงามืดด้านหลังต้นอู๋ถงช้าๆ ร่างสูงผอมเพรียวของเขาสวมเสื้อโค้ตผ้าสักหลาดเนื้อบางสำหรับฤดูนี้ ปกเสื้อยกตั้ง บนศีรษะสวมหมวก ไม่ได้พบกันหลายเดือนบนหน้าเขามีหนวดเครารกครึ้ม ไม่รู้ว่าไม่ได้โกนหนวดมากี่วันแล้ว
เขาก้าวออกจากหลังต้นไม้แล้วหยุดยืนมองเธอนิ่งๆ ไม่ได้เดินมาหาเธอต่อ
หัวใจของซูเสวี่ยจื้อเต้นรัวแรงในพริบตา
เฮ่อฮั่นจู่! เขามาแล้ว เขามาเองเลยหรือนี่!
ชั่วอึดใจเดียวความยินดีแทบคลั่งก็ถาโถมเข้าใส่หญิงสาวอย่างไม่ทันตั้งตัวระลอกหนึ่ง
อันที่จริงช่วงเวลาที่เธอกับเขาแยกกันไม่นับว่านานสักเท่าไร แต่ในความรู้สึกของเธอกลับเหมือนอยู่ห่างจากเขามานานแสนนานเหลือเกิน
นานเสียจนเสี้ยวขณะที่เห็นเขาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอถึงกับรู้สึกเหมือนฝันไป
ซูเสวี่ยจื้อสงบสติอารมณ์ เดินลิ่วๆ ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มที่จับจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตา เธอข่มใจไว้สุดกำลังถึงห้ามไม่ให้ตนเองโผเข้าสู่อ้อมอกเขาในทันทีได้
ลมยามดึกพัดกระโปรงของหญิงสาว เฮ่อฮั่นจู่จ้องมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้งดื่มด่ำประหนึ่งว่ามองเท่าไรก็ไม่พอ
เธอเป็นแบบที่เขามโนภาพไว้ แต่ดีกว่ามากมายหลายเท่า
ใบหน้าของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้เงาดำของปีกหมวกเห็นประกายวับวาวผุดขึ้นจางๆ ในส่วนลึกของดวงตาทั้งคู่ เขายื่นมือไปแตะแขนเธอเบาๆ คล้ายแน่ใจบางอย่างแล้วถึงค่อยจับไว้แน่นๆ พาเธอกลับเข้าไปใต้เงาไม้
“คุณจะรอฉันอยู่ที่สถานีรถไฟไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมาที่นี่ได้ แล้วติงชุนซานล่ะคะ” ซูเสวี่ยจื้อลดเสียงเบาถามรัวเป็นชุด
เขาดึงสติคืนมาในฉับพลัน
“ผมไม่วางใจ กลัวจะเกิดเหตุไม่คาดคิดถึงได้มาเอง ตรงนี้อยู่ใกล้โรงแรม ถนนคับแคบ ตอนค่ำยังมีคนนอกแห่กันมาดูงานนี้อีก ผมกลัวรถติดเลยบอกให้ติงชุนซานขับไปรอที่หัวถนนถัดไปก่อน”
เฮ่อฮั่นจู่อธิบายให้ฟัง เขาอยากโอบกอดเธอไว้ในวงแขนและจูบเธออย่างหนักหน่วงแต่ต้องหักห้ามใจเอาไว้
ซูเสวี่ยจื้อถอนหายใจโล่งอก แต่ความห่วงใยก็เข้ามาแทนที่ทันควัน เธอเอ่ยตำหนิเสียงเบา “คุณไม่ควรมาที่นี่ มันอันตรายเกินไป”
เขาแย้มยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบอะไร แค่เหลือบตาขึ้นมองซ้ายมองขวาอย่างฉับไว
จุดที่ไกลออกไปอีกฝั่งหนึ่ง ตำรวจซึ่งกำลังทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยสองนายเดินอาดๆ มาทางนี้
“ที่นี่อยู่นานไม่ได้ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
ประกายตาของเฮ่อฮั่นจู่เปลี่ยนเป็นคมกริบ เขาพูดจบแล้วมองกระโปรงยาวบนตัวหญิงสาวแวบหนึ่งก่อนถอดเสื้อโค้ตของตนเองออกคลุมตัวเธอ จากนั้นพาเธอจากไปในม่านรัตติกาลที่มีแสงเรืองๆ ของโคมไฟรอบด้านอย่างรวดเร็ว