งานแต่งงานที่ชั้นล่างของโรงแรมยังดำเนินต่อไป
ถงกั๋วเฟิงรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้แล้วคงปิดบังไม่ได้ เขาหาจังหวะเรียกหวังเซี่ยวคุนที่ยิ้มแย้มพูดคุยกับแขกเหรื่ออยู่ออกมารายงานเหตุการณ์ให้รับทราบ เขาตำหนิตนเองไม่หยุดว่าทำงานบกพร่อง
จางอี้จิ่วก็เดินเข้ามารับผิดพร้อมกัน เขาบอกว่าถึงแม้ยังไม่มั่นใจว่าซูเสวี่ยจื้อออกจากโรงแรมไปได้อย่างไร แต่ดูจากตอนนี้แล้วมีความเป็นไปได้มากที่สุดคือน่าจะปลอมตัวหนีออกไป
“เมื่อครู่ผมออกคำสั่งให้ตั้งด่านตามประตูเมือง และส่งคนไปแจ้งสถานีรถไฟให้ตรวจค้นอย่างเข้มงวดพร้อมกับส่งกำลังคนเร่งรุดไปที่นั่น ท่านนายพลวางใจได้ ตราบเท่าที่เขายังไม่ออกจากเมืองหลวง ถึงติดปีกก็บินหนีไปไม่รอดครับ” จางอี้จิ่วพูดอย่างหนักแน่นมั่นใจยิ่ง
ฝ่ายถงกั๋วเฟิงทำหน้าสลดไม่พูดไม่จาต่อสักคำ
ดวงตาของหวังเซี่ยวคุนทอประกายวาวโรจน์วูบหนึ่ง เขาหรี่ตาลงตรึกตรองชั่วอึดใจ
“ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง คนท้องจะคลอดลูก…” จู่ๆ เขาก็พึมพำประโยคนี้ออกมาแล้วหันหลังเดินผละไป
จางอี้จิ่วแปลกใจชอบกล ไม่เข้าใจว่านั่นหมายความว่าอะไร แต่ดูท่าว่าคงได้แต่ทำไปตามนี้ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย จะสกัดจับได้หรือไม่ก็แล้วแต่ฟ้าลิขิต
แม้ว่าสัญชาตญาณในตัวจะบอกเขาว่าเฮ่อฮั่นจู่ได้บทเรียนจากคราวก่อนแล้ว การเตรียมลู่ทางและจัดคนมารับหนนี้ต้องไม่มีทางพลาดซ้ำรอยเดิมแน่นอน
ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าใจจริงอยากให้ซูเสวี่ยจื้อหนีไปแล้วหรือถูกจับกลับมามากกว่ากันแน่ ขณะยืนคิดคำนึงอยู่ก็พลันเห็นคุณชายหวังเจ้าบ่าวในคืนนี้วิ่งผลุนผลันออกมาจากห้องโถงจัดงานไปทางประตูหลังของโรงแรม
จางอี้จิ่วส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง เห็นหวังถิงจือทำหูทวนลม เขาจึงไม่วางใจเลยไล่ตามไป
เธอไปแล้ว! สลัดคนที่จับตาดูเธอทิ้งได้และหนีไปโดยไม่มีใครรู้ใครเห็นแล้วหรือนี่!
ตอนได้ยินข่าวนี้หวังถิงจืองงงันไปพักหนึ่ง หลังจากคิดตามทันภาพผู้หญิงชุดสีม่วงที่พบโดยบังเอิญตรงทางเดินนอกห้องพักผ่อนคืนนี้ก็ผุดขึ้นในหัวสมองฉับพลัน
เธอนั่นเอง! ต้องเป็นเธอแน่ๆ!
หวังถิงจือวิ่งรวดเดียวไปถึงประตูหลังโดยไม่พักหายใจ เขาพุ่งถลันออกไปแล้วเหลียวมองรอบด้าน
ทั้งสี่ทิศประดับด้วยแสงสีพร่างพราว โคมไฟแกว่งไกวไปมาในผืนความมืดแผ่ประกายแสงสีแดงอ่อนจางละม้ายหมอกควัน แต่ไม่เห็นวี่แววของเรือนร่างอรชรในชุดสีม่วงอีก
ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ
หน้าผากของเขามีเหงื่อไหลซึมไม่ขาดสาย เขาหายใจกระหืดกระหอบเฮือกใหญ่ หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบกระดอนออกมานอกอก
“ถิงจือ เป็นอะไรไป” จางอี้จิ่ววิ่งตามออกมาแล้วเห็นท่าทางเขาไม่ค่อยปกติ จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
ส่วนถงกั๋วเฟิงพอได้ข่าวก็ไล่กวดตามมา ถามหลานชายว่าเป็นอะไร รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า
หวังถิงจือหลับตายืนนิ่งๆ ครู่หนึ่งถึงลืมตาขึ้นช้าๆ เอ่ยตอบ “ผมไม่เป็นไร”
เขาขบกรามแน่น ตอบเสียงต่ำเบาก่อนหมุนตัวเดินเข้าข้างใน
ในห้องพักชั้นบนสุดของโรงแรม คุณถังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ลำพัง มองดูกระเป๋าที่แขวนอยู่บนเสาไม้แขวนหมวกหลังจากเพิ่งกำจัดของข้างในไปแล้วใบนั้นพลางจมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิด
เมื่อครู่นี้ตอนจางอี้จิ่วออกไปคุยกับถงกั๋วเฟิง เธอฉวยโอกาสหยิบเสื้อผ้าในห้องน้ำออกมาม้วนพับรวมกันแล้วซุกเก็บในกระเป๋าเรียบร้อยถึงค่อยเปิดประตูให้ตรวจค้น
มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่คนทั้งคนจะซ่อนอยู่ในกระเป๋า หลังจากจางอี้จิ่วออกไปเธอถึงสบช่องเอากระเป๋าออกมาโยนของทิ้งไป
คุณถังทบทวนความทรงจำถึงเรื่องราวหลังจากที่เธอรู้จักกับซูเสวี่ยจื้อหรือคุณหนูซูคนนั้น พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เฮ่อฮั่นจู่พาอีกฝ่ายมาให้เธอรักษา ‘โรค’ ให้ ดูทีว่าตอนนั้นแม้แต่เขาก็ยังถูกปิดหูปิดตา ไม่รู้ว่าคุณหนูซูเป็นผู้หญิงเลย
จิตใจของคุณถังหดหู่อยู่บ้าง แต่ริมฝีปากแดงยังคงแย้มออกน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่
เวลานี้คุณหนูซูน่าจะหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว ขอให้สวรรค์คุ้มครองด้วย
แม้ว่าชั่วชีวิตนี้ของเธอจะต้องจมปลักอยู่ในโคลนตม แต่การได้รู้ว่าในโลกอันสกปรกโสมมใบนี้มีคนคู่หนึ่งได้สมหวังในรักก็เป็นเรื่องดีงามมากไม่ใช่หรือไร
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 พ.ค. 67