บทที่ 185
รถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ตรงหัวมุมถนน ติงชุนซานนั่งรออยู่ในนั้น เขาเหลือบดูเวลาซ้ำอีกครั้ง
ยามนี้สิบเก้านาฬิกาห้านาทีแล้ว
จุดนี้อยู่ใกล้กับปากตรอกสายนั้นมาก ต่อให้เดินด้วยฝีเท้าปกติแค่ห้านาทีก็มาถึงได้ เขาลองทดสอบเองแล้ว
ติงชุนซานชักร้อนใจ ดูเวลาเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางถนนตรงประตูหลังของโรงแรมอีกรอบ ทันใดนั้นร่างของผู้บังคับบัญชาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา ส่วนคนที่มาด้วยกันเป็นหญิงสาวผมดัดลอนสวมหมวกคนหนึ่ง
แม้จะอยู่ห่างไปบ้าง ประกอบกับทั้งคู่เดินหันหลังให้แสงไฟทำให้มองไม่เห็นใบหน้า แต่ติงชุนซานรู้ว่าแผนหลบหนีของซูเสวี่ยจื้อในคืนนี้ก็คือการปลอมตัวเป็นผู้หญิง
รับคุณชายซูมาได้แล้ว!
ติงชุนซานโล่งอก เขาติดเครื่องยนต์โดยไม่รอช้า จังหวะนี้เองเฮ่อฮั่นจู่ก็พาซูเสวี่ยจื้อมาถึง เขาเปิดประตูรถให้เธอแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะขึ้นรถตาม
รถยนต์เคลื่อนตัวไปข้างหน้า จากนั้นเร่งความเร็วทะยานเข้าสู่ผืนราตรีหายลับไปในความมืดที่แต่งแต้มด้วยแสงไฟสลับกับแสงดาว
รถแล่นเลียบถนนใหญ่มุ่งหน้าไปทางสถานีรถไฟ หลังจากผ่านสี่แยกหลายจุดก็เลี้ยวเข้าถนนย่อยเส้นหนึ่งแล้วหยุดจอด ต่อจากนั้นรถเทียมล่อลักษณะดาษดื่นธรรมดาก็แล่นมาจากอีกฝั่ง คนผู้หนึ่งกระโดดลงจากบนนั้นมารับช่วงต่อจากติงชุนซาน ขับรถแยกไปอีกทางอย่างว่องไว ขณะที่เฮ่อฮั่นจู่พาซูเสวี่ยจื้อขึ้นรถเทียมล่อ ส่วนติงชุนซานนั่งกับสารถีอยู่ข้างหน้า กดปีกหมวกลงต่ำๆ สารถีตวัดแส้หวดควบรถเทียมล่อออกจากถนนย่อยเส้นนี้ไปที่สถานีรถไฟต่อ
ซูเสวี่ยจื้อเข้าใจทันใด
ถึงจะเป็นเขตเมืองหลวง แต่รถยนต์ยังคงเด่นสะดุดตา อีกทั้งในเวลานี้การจราจรแถวสถานีรถไฟมักติดขัด การเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะที่คล่องตัวและพบเห็นได้ทุกที่ประเภทนี้ไม่เพียงช่วยพรางตัว แต่ยังเดินทางได้สะดวกกว่า
เฮ่อฮั่นจู่ปิดประตูรถอย่างแน่นหนาแล้วนั่งลงข้างเธอ เขากระซิบบอกว่าอีกเดี๋ยวทั้งคู่จะไปขึ้นรถไฟ ใช้เวลายี่สิบนาทีออกจากเมืองหลวงแล้วลงรถสถานีที่สอง เป้าจื่อจะรอรับอยู่ที่นั่น หลังจากเจอกันแล้วเขาจะพาเธอออกเดินทาง
“คุณวางใจได้ แล้วก็ไม่ต้องกลัว คราวนี้จะไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ อีกเด็ดขาด”
ชะรอยเขาคงจะคิดถึงเหตุไม่คาดฝันคราวก่อน เลยอยากคลายความกังวลให้ จึงพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทว่าขึงขังเป็นพิเศษเพื่อรับรองกับเธอ
ซูเสวี่ยจื้อไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด เมื่อครู่นี้เองตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่เห็นหน้าเขา จิตใจเธอก็สงบนิ่งอย่างยิ่งเพราะเชื่อใจเขาเต็มร้อย เธอคลี่ยิ้มพยักหน้าและตอบด้วยเสียงเบาแต่หนักแน่น “ฉันไม่กลัวค่ะ”
รถเทียมล่อที่แล่นอยู่ทั่วเมืองหลวงประเภทนี้ตัวรถจะเล็กแคบพอให้นั่งได้เพียงสองสามคน หากเป็นคนตัวใหญ่นั่งหันหน้าเข้าหากัน หัวเข่าก็จะชน บนเพดานรถแขวนตะเกียงน้ำมันก๊าดเก่าๆ แบบฝาครอบแก้วดวงหนึ่งให้แสงสว่างแค่สลัวๆ แล้วยังถูกหุ้มด้วยผ้าสักหลาดอย่างมิดชิด เฮ่อฮั่นจู่ตัวสูง พอขึ้นมานั่งภายในตัวรถก็มีแต่เงาของเขาไหววูบวาบไปตามจังหวะการแล่นของรถเทียมล่อ เป็นเหตุให้ภายในดูคับแคบยิ่งขึ้น
เธอกับเขาไม่ได้พบหน้ากันระยะหนึ่ง ตอนอยู่ในรถยนต์มีติงชุนซานอยู่ด้วยเป็นก้างขวางคอเลยไม่สะดวก แต่ขณะนี้เหลือแค่สองคนแล้ว…
ซูเสวี่ยจื้อสังเกตว่าหลังจากเขาบอกแผนการเดินทางต่อจากนี้ให้เธอฟังจบก็ไม่พูดอะไร แค่ถอดหมวกบนศีรษะออกช้าๆ วางบนหัวเข่า มองเธอเงียบๆ แวบหนึ่งแล้วก็มองซ้ำอีก
เริ่มแรกเธอทำไม่รู้ไม่ชี้ จนกระทั่งเขามองเธอซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่กลับไม่พูดไม่จาดังเก่า เธอทนต่อไปไม่ไหว หันหน้ามาถามเสียงเบา “คุณมองอะไร ฉันแต่งตัวแบบนี้แปลกมากใช่ไหม”
ในชีวิตก่อนเธอก็ไว้ผมสั้น และเพราะปกติทั้งเรียนหนักทั้งงานยุ่ง จึงมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ใส่ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงจนติดเป็นนิสัย อย่างเช่นเสื้อเชิ้ตที่เนื้อผ้าแข็งอยู่ทรงและดูแลง่าย ส่วนที่แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศอย่างคืนนี้ เดิมทีเธอก็ไม่ค่อยชินอยู่แล้ว ตอนนี้เห็นเขามองแบบนี้อีกจึงยิ่งอึดอัดไปทั้งเนื้อทั้งตัว ซูเสวี่ยจื้อพูดจบก็จะถอดหมวกออก เขาพลันยื่นมือมาจับแขนเธอเบาๆ เพื่อห้ามไว้
“ไม่เลย สวยมาก สวยกว่าที่ผมนึกภาพไว้เป็นร้อยเท่า พันเท่า…” เขาพูดเสียงเบา
เธอเม้มปากแล้วเอ่ยแย้งขึ้น “คุณหัดปากหวานตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เฮ่อฮั่นจู่ส่ายหน้า “ไม่ได้ปากหวานเลย ผมพูดจริงๆ ความจริงตอนคุณออกมาเมื่อครู่ผมเห็นตั้งแต่แวบแรกแล้ว แต่ไม่กล้าเข้าไปหา…”