เมื่อครู่อยู่ในห้องน้ำของร้านเหล้าเขาใช้ปากกาลูกลื่นที่พกติดตัวเขียนข่าวที่ได้รู้โดยบังเอิญคืนนี้บนกระดาษชำระไว้แล้ว พอไปถึงที่โรงอาบน้ำ เขาสบช่องที่มาดามคิคูโกะเผลอตัวขณะต้อนรับมัตสึซากะอยู่ยื่นกระดาษที่ม้วนพับไว้ให้คนของเขา สั่งให้ไปหาเฉินอิงโดยด่วน บอกว่าเขาเป็นคนส่งมา เหตุผลที่เขารู้จักเฉินอิงก็เพราะก่อนหน้านี้เฮ่อฮั่นจู่บอกให้เขาติดต่อผ่านคนผู้นี้
เฉินอิงได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว เขาแจ่มแจ้งดีถึงความแค้นระหว่างเฮ่อฮั่นจู่กับหวังเซี่ยวคุน รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จึงไม่กล้าตัดสินใจ เขาติดต่อโหวฉางชิงตามที่นัดแนะกับเฮ่อฮั่นจู่ไว้โดยไม่รอช้า เพื่อถามว่าจะจัดการเช่นไร
ด้านโหวฉางชิงก็ไม่กล้าตัดสินชี้ขาดเอง แต่เขาเป็นคนเตรียมการแผนพาคนหลบหนีในคราวนี้อยู่เบื้องหลังจึงเอ่ยปากบอกเฉินอิงว่าขณะนี้เฮ่อฮั่นจู่อยู่ในเมืองหลวงพอดี ตอนประมาณสิบเก้านาฬิกาคนสนิทของเฮ่อฮั่นจู่จะปรากฏตัวที่นั่น เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วให้เฉินอิงรีบส่งคนไปหาเดี๋ยวนี้
สมาคมซื่อฟางย่อมมีคนอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน เฉินอิงไม่กล้าชักช้ารีรอจึงรีบโทรศัพท์ติดต่อลูกน้องมือขวา สุดท้ายข่าวนี้ก็ถูกส่งต่อกันเป็นทอดๆ มาถึงเฮ่อฮั่นจู่จนได้
พอคนผู้นั้นเล่าจบ ติงชุนซานก็ตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก เขามองไปทางเฮ่อฮั่นจู่ “ท่านผู้บัญชาการ จะเอาอย่างไรดีครับ”
ประกายในดวงตาเฮ่อฮั่นจู่สั่นไหววูบหนึ่ง แต่เขาแทบไม่หยุดคิดใคร่ครวญ หันไปบอกกับลูกน้องของเฉินอิง “คุณคงรู้จักโรงแรมแกรนด์แคปิตอลนะ คุณช่วยไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด หาคนที่ชื่อจางอี้จิ่วแล้วบอกเขาว่าคืนนี้คนญี่ปุ่นจะลอบสังหารหวังเซี่ยวคุน”
เขาพูดต่อท้ายอีกประโยคว่า “ไม่ต้องเปิดเผยฐานะ ส่งข่าวจบก็ออกมาเลย”
คนผู้นั้นขานรับแล้วโค้งคำนับเฮ่อฮั่นจู่ ก่อนจะออกวิ่งสุดฝีเท้าไปทางที่ตั้งของโรงแรมอย่างปราดเปรียวว่องไว พริบตาเดียวก็หายลับไปในความมืด
หลังจากคนของเฉินอิงไปแล้วติงชุนซานเห็นผู้เป็นนายไม่ได้ขึ้นรถทันที ยังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนทอดสายตามองไปทางโรงแรม พาให้ความรู้สึกในใจเขาสับสนปนเปอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าพูดเร่งรัด
ชั่วครู่ต่อมาเขานึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปขึ้นรถไฟ ด้วยกลัวจะไปไม่ทันจึงดูเวลา ตอนนั้นเองเฮ่อฮั่นจู่พลันหันหน้ากลับแล้วขึ้นรถไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ติงชุนซานเร่งรีบกระโดดขึ้นไปนั่งด้านหน้า ทำหน้าที่สารถีควบรถเทียมล่อมุ่งหน้าไปสถานีรถไฟต่อ
ถึงซูเสวี่ยจื้อจะอยู่ในรถ แต่ได้ยินเสียงพูดกระซิบกระซาบด้านนอกทั้งหมด เธอเห็นเฮ่อฮั่นจู่ตัดสินใจแบบนี้ ทว่าหลังจากขึ้นมากลับมีสีหน้าเคร่งเครียด ขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายยังใช้สมาธิคิดอะไรอยู่ จึงไม่เปล่งเสียงรบกวน เพียงนั่งรอเงียบๆ อย่างใจเย็น ผ่านไปครู่หนึ่งเห็นเขาหันขวับมาทางเธอ “เสวี่ยจื้อ คุณกำลังคิดอยู่ใช่ไหมว่าเหตุใดผมไม่ฉวยโอกาสนี้กำจัดหวังเซี่ยวคุน”
ซูเสวี่ยจื้อพูดเสียงเบา “คุณต้องมีเหตุผลของคุณแน่นอน”
เขาหัวเราะฝืดๆ มองเธอซ้ำอีกครั้งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำมาก
“ใช่ สกุลหวังเป็นศัตรูของสกุลเฮ่อ เป็นตัวการที่ทำให้สกุลเฮ่อของผมต้องพบหายนะจริงๆ ทุกครั้งที่ผมคิดถึงคุณปู่ คิดถึงบ้านหลังเดิมที่โดนขุดพื้นจนเละเทะ ในใจผมมีแต่ความโกรธแค้น อยากจะฆ่าศัตรูด้วยมือตนเองใจจะขาด แต่ว่าตอนนี้ผมยังทำไม่ได้…”
เส้นเลือดตรงขมับชายหนุ่มปูดโปนขึ้นเล็กน้อย เขาหยุดพูดแล้วหลับตาลง
ซูเสวี่ยจื้อกุมมือข้างหนึ่งของเขาไว้ทันที
เขาไม่ขยับตัว สูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ รอกระทั่งอารมณ์สงบลงบ้างถึงพูดต่อ “ตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นเกิดความขัดแย้งในสังคมรุนแรงขึ้นทุกวัน ถึงได้มุ่งหวังก่อสงครามกับประเทศอื่นเพื่อกอบโกยเงินทองและถ่ายเทความขัดแย้งไปที่อื่น ไม่ใช่แค่ผู้มีอำนาจเบื้องบนของญี่ปุ่นที่หมายมั่นปั้นมืออยากให้รูปการณ์ออกมาเป็นแบบนี้ ประชาชนทั่วไปมากมายก็คิดเช่นนี้ กระหายอยากจะแผ่อาณาเขตออกไปครอบครองประเทศอื่น ว่ากันว่าชาวบ้านในชนบทมากมายถือว่าการให้ลูกชายเข้ากองทัพที่ส่งมาประเทศจีนเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง ตอนออกเดินทางคนทั้งหมู่บ้านจะยกขบวนกันมาส่งอย่างดีอกดีใจ! ช่างเป็นชนชาติที่เห็นแก่ตัว เลือดเย็น ตีสองหน้า และไม่รู้ว่าคุณธรรมกับศีลธรรมแปลว่าอะไรจริงๆ”
น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้น “คนญี่ปุ่นทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่ พวกเขาต้องวางแผนการรุกรานอย่างเปิดเผยในสักวันไม่ช้าก็เร็ว ผมเชื่อว่าที่โยโคกาวามาประเทศจีนเป็นเพราะมีเป้าหมายนี้ รู้ไหมว่าเหตุใดต้องรักษาชีวิตหวังเซี่ยวคุนไว้ เพราะพวกนั้นอยากให้เขาตายน่ะสิ คนญี่ปุ่นก็อ่านสถานการณ์ออกว่าเวลานี้ประเทศเรามีแค่หวังเซี่ยวคุนเท่านั้นที่มีอิทธิพลคานอำนาจทุกฝ่ายและควบคุมรัฐบาลกลางให้มีเสถียรภาพได้แบบแกนๆ ถ้าเขาโดนลอบฆ่า กลุ่มต่างๆ ใต้สังกัดเขาจะต้องแย่งอำนาจจนแตกคอกัน ภาคใต้ที่เพิ่งเจรจาหย่าศึกกันไปก็จะระส่ำระสายอีกครั้ง เมื่อประเทศขาดรัฐบาลกลางที่มีเสถียรภาพก็เป็นเหมือนมังกรไร้หัว กลับเข้าสู่ภาวะบ้านเมืองแตกแยกอีกครั้ง คนที่มีกำลังทหารมัวแต่สู้รบกันเอง แล้วผลดีตกอยู่กับใครล่ะ”
คำตอบของคำถามนี้เป็นประจักษ์ชัดโดยไม่ต้องบอก