หนังตาของหวังเซี่ยวคุนกระตุกทีหนึ่ง แววตกใจแกมโกรธเกรี้ยวจุดวาบขึ้นในดวงตา ทว่าใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขามองไปทางด้านข้างทั้งซ้ายขวา
ถงกั๋วเฟิงยืดหลังยืนตัวตรง เอ่ยอธิบายกับคนอื่นๆ ที่มองมา “ท่านประธานาธิบดีและผู้มีเกียรติทุกท่าน ท่านนายพลมีธุระเล็กน้อย ต้องขอตัวออกไปสักครู่หนึ่งก่อนครับ”
หวังเซี่ยวคุนลุกขึ้นยืนช้าๆ อมยิ้มพยักหน้ากับทุกคนพร้อมกล่าวคำขอโทษ จากนั้นเดินออกไปทางข้างนอก ถงกั๋วเฟิงพาลูกน้องติดตามไปอย่างใกล้ชิดทุกฝีก้าว
หวังเซี่ยวคุนผงกหัวนิดหนึ่งให้คนที่มาแสดงความยินดีตลอดทางจนออกจากห้องโถงจัดงานไปในที่สุด จางอี้จิ่วพาคนมารออยู่ด้านนอกแล้ว พอเห็นหวังเซี่ยวคุนออกมาก็กำลังจะเข้าไปรับ จังหวะนี้เองผู้จัดการโรงแรมได้ตะโกนบอกกะทันหัน “เห็นแล้ว! เขาอยู่ตรงนั้นครับ”
จางอี้จิ่วหันหน้าขวับ เห็นผู้ชายแต่งตัวเป็นบริกรคนหนึ่งวิ่งมาจากทางบันได แทบจะในชั่วพริบตาเดียวกันชายคนนั้นล้วงปืนพกจากใต้ชายเสื้อมายิงใส่หวังเซี่ยวคุนติดกันหลายนัด
มือลอบสังหารคนนี้เป็นนักรบคลั่งชาติ ผู้อำนวยการคิมูระไม่ต้องการให้แผนการล้มเหลวอย่างเด็ดขาด จึงปิดบังเรื่องแผนสำรองไว้ พูดย้ำเพียงว่าต้องทำภารกิจให้สำเร็จ ดังนั้นมือลอบสังหารจึงปฏิบัติการอย่างสุขุมรอบคอบยิ่งยวด เพราะหวังเซี่ยวคุนมีผู้คุ้มกันนอกเครื่องแบบตามติดข้างกาย เขาซ่อนตัวแอบสังเกตการณ์อยู่ในที่ลับแล้วตัดสินใจจะลงมือตอนงานเลิก แต่คิดไม่ถึงว่าเป้าหมายจะออกจากงานกลางคัน จึงจำต้องจัดการทันทีอย่างไม่มีทางเลือก
“อารักขาท่านนายพล” ถงกั๋วเฟิงแผดเสียงดังลั่น
พวกผู้คุ้มกันโดยรอบตื่นตัวเต็มที่ พากันยืนบังอยู่ข้างหน้าหวังเซี่ยวคุนอย่างไม่กลัวตายและผลักเขาให้หมอบลง คนหนึ่งโดนยิงเข้าจุดสำคัญล้มลงกับพื้นทันที ส่วนอีกคนบาดเจ็บ คนที่เหลือเปิดฉากยิงสวนกลับ ปืนสิบกว่ากระบอกระดมยิงพร้อมกัน มือลอบสังหารจะหนีรอดได้อย่างไร อีกฝ่ายถูกกระสุนเจาะร่างเป็นรูพรุนจนขาดใจตาย
ค่ำวันนี้จัดงานใหญ่ระดับนี้มีแขกคนสำคัญคับคั่ง ตัวหวังเซี่ยวคุนเองก็ไม่อยากให้แขกเหรื่อแตกตื่น ถึงได้หลบออกจากงานเงียบๆ อย่างรวดเร็ว แต่คาดไม่ถึงว่ายังคงควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ เสียงยิงปืนรัวเป็นชุดนอกห้องโถงดังไปถึงข้างใน ผู้คนในงานได้ยินแล้วออกมาเห็นสภาพนองเลือด ต่างส่งเสียงร้องอุทานโวยวายอย่างตกใจเสียขวัญ
ไม่มีใครแน่ใจว่ามือลอบสังหารยังมีพรรคพวกอีกหรือไม่
กระนั้นหวังเซี่ยวคุนไม่ได้ตื่นตระหนก สั่งกำชับให้ถงกั๋วเฟิงอยู่ส่งแขกแทน จากนั้นให้พวกจางอี้จิ่วอารักขาเขาออกจากโรงแรมต่ออย่างรีบเร่ง
รถประจำตัวเขาจอดในตำแหน่งที่อยู่ใกล้ประตูใหญ่ของโรงแรมมากที่สุด คนขับรถวิ่งเร็วฉิวนำหน้า ขณะที่คนอื่นๆ ห้อมล้อมหวังเซี่ยวคุนไว้ตรงกลางเป็นขบวนคุ้มกันทั้งหน้าหลังอย่างแน่นหนาพาไปที่รถ
ประตูใหญ่ของโรงแรมเริ่มมีแขกวิ่งกรูกันหนีออกมาจ้าละหวั่น ทั่วทั้งบริเวณวุ่นวายโกลาหลไปหมด
หวังถิงจือเบียดฝ่าผู้คนไล่ตามออกมาถามจางอี้จิ่วว่าเกิดอะไรขึ้น
จางอี้จิ่วติดตามอยู่ข้างหลังหวังเซี่ยวคุนในสภาพเหงื่อออกท่วมหัว เขาไม่มีเวลาอธิบายอย่างละเอียด เพียงบอกสั้นๆ แล้วพูดปลอบหวังถิงจือให้สบายใจ
“…ทางนี้ให้เป็นหน้าที่ผมเอง ถิงจือ คุณรีบเข้าไปช่วยคุณน้าส่งแขก…”
ขณะเขากำลังพูด จู่ๆ รถยนต์คันหนึ่งก็บึ่งมาตามถนนฝั่งตรงข้ามของโรงแรม พอแล่นมาใกล้ก็แทบจะเลี้ยวโค้งหักศอกจนรถทั้งคันกระเด้งลอยจากพื้นกระโจนขึ้นบาทวิถีและแล่นต่อมายังประตูทางเข้า
จางอี้จิ่วตกใจมาก นึกว่าเป็นพวกเดียวกับมือลอบสังหาร เขาควักปืนพลางถอยหลังหลบรถที่อาจจะพุ่งมาชน ปากอ้าจะตะโกนเรียกคน แต่กลับเห็นรถยนต์คันนั้นห้ามล้อกะทันหัน
เสียงล้อบดเบียดบนพื้นถนนระคายหูดังขึ้นก่อนรถจะหยุดจอดสนิท ประตูรถเปิดออก คนผู้หนึ่งลงมาแล้ววิ่งตะบึงมาทางนี้ พร้อมกับตะโกนบอกว่า “อย่าขึ้นรถ บนรถอาจมีอันตราย”
คลับคล้ายว่าเสียงที่ลอยมาตามลมนี้จะสยบความอึกทึกวุ่นวายทั้งสี่ด้านลงได้ คนหลายคนได้ยินเสียงจึงพากันหยุดฝีเท้าหันไปมองตามต้นเสียง เห็นคนที่มาถึงสวมหมวก ร่างสูงเพรียว หนวดเคราเต็มหน้า กอปรกับความมืดเป็นเหตุ ทำให้มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน
แต่หลังจากเสียงนี้ดังมากระทบหูจางอี้จิ่วก็จำได้ทันที
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนหันมองไปข้างหลังแวบหนึ่งเขาเห็นหวังถิงจือหยุดยืนนิ่งเช่นกัน ก่อนหันไปมองร่างที่กำลังวิ่งทะยานมาจากอีกฝั่งหนึ่งด้วยสีหน้าแฝงความสับสนงุนงง
จางอี้จิ่วถลันเข้าไปขวางหน้าอีกฝ่ายไว้ ลดเสียงเบาลงถามซักไซ้ “คุณทำอะไรอยู่ มาที่นี่ทำไม ยังไม่รีบหนีไป…”
เฮ่อฮั่นจู่เหมือนไม่ได้ยิน ถอดหมวกออกโยนทิ้งและสาวเท้าก้าวยาวๆ เดินต่อไป
“คนญี่ปุ่นไม่ได้ส่งมือลอบสังหารมาอย่างเดียว รถของหวังเซี่ยวคุนก็น่าจะโดนวางกับดักไว้ เขาขึ้นรถไม่ได้”
จางอี้จิ่วใจหายวาบ หันขวับไปตวาดดังลั่น “หยุดพลเอกหวังไว้ ขึ้นรถไม่ได้ ห้ามขึ้นรถเด็ดขาด!”