ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 187-188
“แต่ว่าหากวันใดผมรู้ว่าคุณสูญสิ้นศีลธรรม กระทำเรื่องที่ไม่ควรทำ ถึงตอนนั้นต่อให้ต้องตายไร้ที่ฝัง ผมก็จะกำจัดคนชั่วให้สิ้นซาก ผมพูดจบแล้ว นี่ก็คือเรื่องที่ผมตั้งใจกลับมาเพื่อพูดกับคุณ ลาก่อนครับ” ว่าแล้วก็หมุนตัวออกไปโดยไม่รั้งรออีก
“เยียนเฉียว รอเดี๋ยวก่อน! ลุงยังมีเรื่องอยากพูดอีก”
ตอนเฮ่อฮั่นจู่สาวเท้าไปถึงหน้าประตู เสียงของหวังเซี่ยวคุนพลันดังขึ้นด้านหลัง
เขาหยุดฝีเท้าหันหน้าไปช้าๆ เห็นหวังเซี่ยวคุนขยับเท้าจะเดินมาหา แต่ก้าวขาแล้วกลับชะงักนิ่งราวกับลังเลใจ
“เรื่องของคุณปู่เธอในอดีต ลุงรู้สึกผิดมาก ลุงรู้ว่าพูดอะไรตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ แต่ตอนนั้นลุงไม่เห็นด้วยจริงๆ ลุงโกรธตนเองที่ไม่ได้ขัดขวางถึงที่สุด สุดท้ายก็ก่อความผิดมหันต์ขึ้น ทำให้คุณปู่เธอโดนปรักปรำจนต้องเคราะห์ร้ายจากโลกนี้ไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมาลุงรู้สึกผิดอยู่ในใจตลอด เหตุผลที่ต่อมาภายหลังลุงตามหาพวกเธอสองพี่น้องแล้วรับตัวมาอยู่ด้วยและอบรมบ่มเพาะอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพราะมีความคิดที่จะใช้วิธีนี้เป็นการชดเชยให้เล็กๆ น้อยๆ เท่าที่ทำได้หรอกหรือ ลุงยอมรับว่าช่วงก่อนลุงระแวงเธออยู่บ้างจนทำเรื่องไม่ควรทำลงไป คิดไม่ถึงว่าคืนนี้เธอจะช่วยลุงไว้ ลุงซาบซึ้งในความใจกว้างของเธอ แต่ขณะเดียวกันมันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความใจแคบของตนเอง ทำให้ลุงละอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี…เยียนเฉียว…”
เสียงพูดของหวังเซี่ยวคุนสั่นน้อยๆ บ่งบอกถึงความรู้สึกสะเทือนอารมณ์
“เธอวางใจได้ ลุงจะทำงานตามหน้าที่ของตนเองให้สมกับที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ปัญหาภายในก็ส่วนปัญหาภายใน แต่เมื่อใดมีใครจะมารุกรานแผ่นดินเรา ฉันหวังเซี่ยวคุนรู้ดีว่าควรทำเช่นไร! นอกเหนือจากนี้ลุงยังอยากจะใช้โอกาสนี้ขอให้พวกเราสองตระกูลลืมเลือนความแค้นต่อกันให้หมดไปจริงๆ จะได้ไหม เธอต้องการให้สกุลหวังทำอย่างไรก็บอกมาได้เลย”
เขาพูดจบแล้วเผยรอยยิ้มจากใจจริงบนหน้าพลางมองชายหนุ่มด้วยสายตาวาดหวังเต็มเปี่ยม
เฮ่อฮั่นจู่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “จำคำที่คุณพูดเอาไว้ และกรุณาทำในสิ่งที่ถูกที่ควรเท่านั้นเป็นพอ”
เขาพูดจบแล้วหันหลังเปิดประตูเดินออกไปโดยไม่รั้งรออีก
ถงกั๋วเฟิงพาคนสนิทมายืนเฝ้าระเบียงทางเดินที่เชื่อมกับห้องพักผ่อนด้วยตนเอง สีหน้าทุกคนตึงเครียดราวกับเผชิญศึกใหญ่อยู่ พอเห็นประตูบานนั้นเปิดออกและเฮ่อฮั่นจู่ก้าวออกมาจากข้างใน พวกลูกน้องของถงกั๋วเฟิงก็ทำท่าจะชักปืนตามสัญชาตญาณ แต่คงรู้สึกว่าไม่เหมาะเลยหยุดชะงักหันหน้ามองไปทางเจ้านาย
ถงกั๋วเฟิงชำเลืองมองไปทางข้างในประตูที่เงียบเชียบไม่มีเสียงอะไร เขาชั่งใจนิดหนึ่งแล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องอยู่เฉยๆ กระทั่งเฮ่อฮั่นจู่สาวเท้าผ่านระเบียงทางเดินไปแล้ว ถึงรีบเข้าไปในห้องและพูดเสียงกระซิบทันที “พี่เขย จะปล่อยเขาไปแบบนี้หรือ นี่เป็นโอกาสทองที่หาไม่ได้อีกแล้วนะครับ แต่ลงมือที่นี่ไม่สะดวก ผมส่งคนตามไปได้ คราวนี้ไม่ให้คลาดสายตาแน่ ค่อยหาจังหวะ…”
หวังเซี่ยวคุนไม่พูดจา เดินไปริมหน้าต่างบานหนึ่งที่หันไปทางด้านหน้าโรงแรมแล้วรูดม่านมองออกไป
“แกมานี่” เขากวักมือเรียก
ถงกั๋วเฟิงเดินไปตรงนั้นก็เห็นเฮ่อฮั่นจู่ออกจากโรงแรมแล้ว บริเวณประตูใหญ่ในขณะนี้มีนักข่าวรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย…เดิมทีคืนนี้คัดเลือกนักข่าวหนังสือพิมพ์แค่ไม่กี่คนให้เข้ามาในงานแต่งงานได้ แต่ตอนนี้จำนวนนักข่าวที่อยู่นอกโรงแรมจู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาอย่างน้อยสิบกว่าคน ซึ่งน่าจะได้ข่าวกะทันหันแล้วรีบมาทันทีทันใด
ทุกคนเห็นเฮ่อฮั่นจู่ออกมาก็พากันรุมล้อมเข้าไปแย่งกันถ่ายรูปสัมภาษณ์จนเกิดความวุ่นวายระลอกหนึ่ง
“เห็นหรือยัง” ถงกั๋วเฟิงได้ยินเสียงเย็นชาดังขึ้นข้างใบหู
เขานิ่งอึ้ง พอเบือนหน้าไปก็เห็นหวังเซี่ยวคุนกำลังมองมา หลังพูดประโยคเมื่อครู่จบก็แผดเสียงตวาดลั่นฉับพลัน
“ยังจะตามไปอีกหรือ จะไปทำอะไร แกพยายามมาตั้งนานขนาดนี้ นอกจากล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่ายังมีอะไรให้พูดถึงได้ ตอนนี้ยังฝันเฟื่องจะกำจัดเขา ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าแกมีปัญญาทำได้ไหม ต่อให้หนนี้แกบังเอิญโชคดีทำสำเร็จ แต่เรื่องคืนนี้มีคนเห็นตั้งมากตั้งมาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาตอนนี้ แกคิดว่าฉันยังขายหน้าไม่พอ อยากให้ฉันโดนฝ่ายตรงข้ามรุมกินโต๊ะ ด่าว่าฉันเป็นพวกเนรคุณ ไม่ยอมละเว้นกระทั่งเฮ่อฮั่นจู่หรือ!!!”
ถงกั๋วเฟิงไม่เคยโดนหวังเซี่ยวคุนตำหนิด่าทอด้วยสีหน้าน้ำเสียงดุดันเช่นนี้ เขาอึ้งไปในทีแรก แต่ชั่วครู่เดียวก็ทำหน้าม่อยคอตก พร่ำยอมรับผิดซ้ำๆ
“ตอนนี้นอกจากจะแตะต้องเขาไม่ได้แล้ว ฉันจะบอกให้นะ แกยังต้องภาวนาให้เขาปลอดภัยสบายดีอีกด้วย ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าฉันจะได้อยู่เป็นสุข”
“ครับๆ ผมจะไปบอกให้จางอี้จิ่วถอนกำลังคนที่ส่งไปที่สถานีรถไฟกลับมาเดี๋ยวนี้เลย”
ถงกั๋วเฟิงพูดอย่างร้อนรน
หวังเซี่ยวคุนไม่ปริปากพูดอีก มองดูภาพที่กำลังเกิดขึ้นนอกประตูทางเข้าโรงแรมพลางทอดถอนใจเบาๆ
ถงกั๋วเฟิงปาดเหงื่อแล้วหมุนตัวออกไปอย่างลุกลน
เฮ่อฮั่นจู่ไม่ได้หยุดเดินและไม่ตอบคำถามใดๆ ของนักข่าว เขาลงบันไดสาวเท้าก้าวใหญ่เดินฝ่าฝูงชนตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ
ในเวลานี้เองเขาได้ยินเสียงร้องเรียกของจางอี้จิ่วทางด้านหลังถึงได้ชะงักเท้า
จางอี้จิ่วกวดตามทันแล้วให้ลูกน้องกันนักข่าวออก ก้าวเข้าไปกุมมือเขา “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ! หลังจากนี้รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย” ว่าแล้วก็ขยับเข้าไปพูดกระซิบข้างหู “คนที่ออกไปไล่ตามพวกคุณถอนกำลังกลับหมดแล้ว ขออภัยเพื่อนยาก อย่าถือโทษกันเลย”
ใบหน้าเฮ่อฮั่นจู่มีรอยยิ้มผุดขึ้น เขากุมมือตอบ “แล้วพบกันใหม่ครับ คุณก็รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย”
จางอี้จิ่วหัวเราะชอบใจ เขารู้แก่ใจดีว่าจากกันคราวนี้กว่าจะได้พบกันอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร จนถึงกับใจหายอยู่สักหน่อย เขาบีบมืออีกฝ่ายแน่นๆ ซ้ำอีกทีถึงปล่อยออก
ชายหนุ่มอมยิ้ม กวาดสายตามองกลุ่มของฟางฉงเอินที่ยังยืนอยู่บริเวณใกล้ๆ ไปทีละคนพร้อมกับผงกหัวเป็นเชิงขออำลา
เฮ่อฮั่นจู่มองไปรอบๆ จนทั่ว ขณะกำลังจะจากไปก็พลันเหลือบเห็นคนผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงหัวบันไดหน้าประตูโรงแรม แสงไฟสาดส่องทางด้านหลังขับเน้นเค้าโครงเรือนกายนั่นให้เด่นชัดขึ้น ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาทางนี้อย่างเงียบงัน
หวังถิงจือนั่นเอง
เฮ่อฮั่นจู่ชะงักนิดหนึ่งก่อนจะผงกหัวไปทางนั้นทีหนึ่งอย่างฉับไวแล้วหันหลังเดินออกไปทันที ร่างของเขาค่อยๆ หายลับไปในความมืดท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอยู่ด้านหลังนับไม่ถ้วน
เขาจากไปตามลำพังเช่นเดียวกับตอนมาถึงที่นี่คืนนี้