ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง
ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 187-188
ชายหนุ่มกลับไปถึงสถานีรถไฟ
โคมไฟตรงลานกว้างเปล่งแสงเย็นเยือกวังเวงส่องสว่างอยู่ในผืนราตรีมืดมิดเบื้องหน้า
ขบวนรถไฟรอบค่ำที่ผู้โดยสารแน่นที่สุดแล่นผ่านไปแล้ว คลื่นฝูงชนพลุกพล่านวุ่นวายต่างแยกย้ายไปตามทาง ลานโล่งกว้างขวางด้านหน้าสถานีรถไฟเหลือแค่ผู้โดยสารประปรายไม่กี่คนที่ต้องขึ้นรถไฟรอบดึกที่เหลืออยู่สองสามขบวนสุดท้ายของคืนนี้เดินไปเดินมาด้วยฝีเท้าเร่งรีบใต้แสงไฟ
ลมยามดึกเจือไอเย็นโชยพัดมาระลอกหนึ่ง หอบใบไม้แห้งที่ร่วงเกลื่อนพื้นปลิวลอยหมุนคว้าง เขาเดินย่ำผ่านไป
เฮ่อฮั่นจู่รู้ว่าขณะนี้เธอน่าจะรอเขาอยู่สถานีถัดไปตามที่นัดกันเอาไว้ เขาก้มหน้าดูนาฬิกาแวบหนึ่ง เกือบยี่สิบสามนาฬิกาแล้ว ใกล้ถึงกลางดึกรอมร่อ
เมื่อนึกภาพว่าตอนนี้เธอที่รอคอยอยู่ที่สถานีถัดไปจะร้อนรุ่มกลุ้มใจเป็นห่วงขนาดไหน เฮ่อฮั่นจู่พลันเกิดความลุกลนกระวนกระวายขึ้นมา ยิ่งภาพของหญิงสาวชุดม่วงผุดขึ้นในห้วงความคิด เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าในเสี้ยววินาทีนี้หัวใจของตนเองหลุดลอยออกจากร่างกายไปพร้อมกับวิญญาณ โบยบินไปหาเธออย่างอดรนทนไม่ไหว
ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินลิ่วๆ ไปถึงหน้าประตูสถานีรถไฟกำลังจะเข้าไป ทันใดนั้นเองเขาได้ยินคนส่งเสียงเรียกอยู่ด้านข้าง ซ้ำยังเป็นการเรียกแซ่ตามด้วยชื่อแบบเต็มยศ
“เฮ่อฮั่นจู่”
แต่ไรมาไม่เคยมีคนเรียกชื่อแซ่ของเขาเต็มยศด้วยน้ำเสียงอย่างนี้
สมัยเขาเป็นเด็กคุณปู่ผู้เคร่งขรึมเข้มงวดจะเรียกเขาว่า…ฮั่นจู่ ต่อมาคนรอบข้างที่อยากแสดงความใกล้ชิดมักเรียกเขาว่า…เยียนเฉียว
แน่ล่ะว่าไม่ใช่ไม่มีใครเรียกชื่อเต็มของเขา แต่คนพวกนั้นล้วนเป็นศัตรู แล้วจะทำน้ำเสียงแบบนี้ได้อย่างไรกัน
มีอยู่แค่คนเดียวคือ…เธอ
มีแต่เธอที่จะเรียกเขาด้วยแซ่ตามด้วยชื่อแบบตรงๆ ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วจะถูกมองว่าเป็นการล่วงเกินและไม่มีสัมมาคารวะ แต่เวลาได้ยินเธอเรียกชื่อเต็มของเขาออกจากปาก เขากลับรู้สึกถึงความสนิทสนม แล้วความรู้สึกสนิทสนมนี้ทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำอย่างที่ไม่เคยเป็น
เขาชะงักเท้ากึก หันหน้าช้าๆ ไปทางต้นเสียง
เฮ่อฮั่นจู่เห็นร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดของหอนาฬิกาด้านข้างประตูทางเข้าสถานีรถไฟ
แสงสีขาวนวลของดวงไฟรอบทิศแผ่กระจายไปในอากาศที่กำลังปกคลุมด้วยน้ำค้างเย็นยะเยือกของยามราตรีทีละน้อย ทาทาบไปทั่วพื้นลานกว้างใหญ่หน้าหอนาฬิกา ทอดสายตามองไปดูคล้ายทั้งหิมะทั้งหมอกควัน ขณะนี้หญิงสาวชุดม่วงในมโนภาพของเขาเมื่อชั่วอึดใจก่อนหน้ามายืนอยู่กลางลานโล่งใต้หอนาฬิกาแห่งนี้ กำลังมองเขาอยู่อย่างเงียบงัน
เฮ่อฮั่นจู่ดึงสติคืนมาได้แล้วก็ดีใจแทบคลั่ง เขาวิ่งทะยานไปตรงหน้าเธอทันที
“ขอโทษนะที่หนนี้ฉันไม่เชื่อฟังคุณ ฉันไปถึงสถานีถัดไปแล้วถามอาเป้าว่าคุณจะมีอันตรายหรือไม่ เขาบอกว่าคุณไม่เป็นไรแน่ แต่ฉันก็อดกลับมาไม่ได้ ขอโทษนะคะ ฉันรู้ว่าฉันเอาแต่ใจ แต่ฉันอยากมารับคุณเป็นคนแรกจริงๆ…”
เฮ่อฮั่นจู่ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วฉุดเธอเข้าไปในเงามืดของหอนาฬิกาด้านข้าง ก้มหน้ากดจูบบนปากที่ยังพูดขอโทษและอธิบายไม่หยุดอย่างหนักหน่วง คละเคล้าเสียงลมหายใจถี่แรงขึ้น
ติงชุนซานซึ่งรออยู่ในมุมไม่ใกล้ไม่ไกลนักเห็นได้ชัดถนัดตา
แม้จะไม่ได้พบเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรก แต่เขาก็ยังหน้าแดงจรดใบหูอย่างสุดระงับ ยืนอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม ไม่กล้าหายใจเสียงดังเกินไป ทันใดนั้นมีคนตบท้ายทอยเขาป้าบหนึ่งจนเจ็บแปลบๆ ติงชุนซานหันหน้าไปก็ปะทะเข้ากับสายตาเย็นเยียบทอประกายวาววามในความมืดของเป้าจื่อ
เป้าจื่อทำมือบอกให้เขาเดินตามไปอีกทางหนึ่ง ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยังดูไม่พอหรือ คิดจะยืนตรงนั้นไปถึงเมื่อไร”
ติงชุนซานมองลูกน้องหลายคนที่ยืนกระจายอยู่รอบๆ แวบหนึ่งแล้วข่มใจไม่อยู่จริงๆ เขาทนเจ็บพูดรำพึงเสียงอุบอิบ “ถ้าคุณชายซูเป็นผู้หญิงจริงๆ ก็คงดีใช่ไหมล่ะครับ ตอนหัวค่ำพี่เป้าก็เห็นแล้ว เขาแทบจะดูเป็นผู้หญิงยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เขาปลอมตัวอยู่…”
เป้าจื่อมองเขาด้วยสายตาเวทนา “เสี่ยวติง วันหลังอยากเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นอีกไหม”
ติงชุนซานใจเต้นเล็กน้อย
เลื่อนตำแหน่ง…ใครจะไม่อยาก
เขาทำท่าเก้อเขิน “คือว่า…ทำไมจู่ๆ พี่เป้าถึงพูดเรื่องนี้…เจ้านายบอกพี่ว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ผมหรือ…”
เป้าจื่อมองเขาด้วยหางตาแล้วจุดบุหรี่เอื่อยๆ สูบคำหนึ่ง
“เปล่า”
ติงชุนซานทำเสียงตอบในลำคออย่างผิดหวังนิดหน่อย
“พูดตรงๆ นะ ตำแหน่งของแกในตอนนี้ก็ไม่เล็ก แต่ถ้าอยากเลื่อนสูงขึ้น ตามหลักแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ดังนั้นฉันขอเตือนแกสักคำ นอกจากทำงานเก่งแล้ว เรื่องบางเรื่องที่ควรเฉลียวใจก็ควรเฉลียวใจได้สักที อย่ามัวแต่ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม พวกโง่ดักดานน่ะไม่มีอนาคตหรอก” แววตาของเป้าจื่อขณะมองติงชุนซานที่อยู่เบื้องหน้าตนเองแฝงนัยลึกล้ำ
“หมายถึงอะไรครับ” ติงชุนซานยังคงไม่เอะใจ
เป้าจื่อสุดจะทนแล้วจริงๆ
“แกยังพูดเองว่าคุณชายซูดูเป็นผู้หญิงยิ่งกว่าผู้หญิงไม่ใช่หรือ ขนาดนี้แล้วแกยังดูไม่ออกอีกใช่ไหม”
ติงชุนซานอึ้งงันไป เขาคิดตามทันในที่สุด หันหน้าขวับไปมองเงาสลัวๆ ของคนสองคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลด้านหลัง
“อะไรนะ พี่จะบอกว่าคุณชายซูเขา…เป็นผู้หญิงตั้งแต่แรกหรือ มัน…มันเป็นไปได้อย่างไร”
เป้าจื่อโคลงศีรษะ คร้านจะสนใจอีกฝ่ายอีก เขาทิ้งติงชุนซานที่จิตใจสับสนยุ่งเหยิงไว้คนเดียวด้วยการหันหลังให้แล้วเริ่มกำหนดแผนการเดินทางต่อจากนี้
ในซอกมืดตรงฐานหอนาฬิกา คนคู่หนึ่งสวมกอดกันแนบแน่น ทันใดนั้นเสียงตีระฆังทุ้มต่ำก็ดังก้องกังวานลอยมาเหนือศีรษะ
ทั้งสองคนแหงนหน้าขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มองดูยอดหลังคาแหลมสูงด้านบน
เฮ่อฮั่นจู่พลันนึกไปถึงปีที่แล้ว วันนั้นในเวลาใกล้เคียงกับตอนนี้เขาเห็นเธอกลับมาหาเขาที่นี่พร้อมกับเสียงระฆังดังขึ้นเหมือนกัน
เขาก้มหน้าเพ่งมองดวงตาที่มองมาคู่นั้น กุมมือเธอช้าๆ พร้อมกับบอกเสียงต่ำเบา “ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปได้แล้ว คราวนี้กลับจริงๆ ผมสาบาน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 พ.ค. 67