เยี่ยหรู่ชวนอยู่ในรถม้าที่จอดอยู่มุมหนึ่งทางด้านหน้าไม่ไกล ส่วนเยี่ยต้าอยู่นอกรถ เขย่งส้นเท้าชะเง้อชะแง้มองไปทางกลุ่มฝูงชน ประตูรถม้าแง้มออกเป็นช่องเล็กๆ เยี่ยหรู่ชวนยื่นหน้าออกมาครึ่งหนึ่งมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่สักหน่อยเหมือนกำลังมองหาใครอยู่ ทันใดนั้นเยี่ยต้าก็ตาเป็นประกาย ชี้ไปทางด้านหน้าพร้อมตะโกนบอกคำหนึ่ง เยี่ยหรู่ชวนมองตามไปแล้วชะงักกึก จากนั้นผลักประตูเปิดอ้าออก จับคานรถม้าแล้วไถลตัวลงไปเองโดยไม่ต้องให้เยี่ยต้าช่วยพยุง ขาข้างที่เคยบาดเจ็บคล่องแคล่วว่องไวเหลือหลาย ไม่ทันยืนทรงตัวให้ดีก็ออกเดินลิ่วๆ มาทางท่าเรือแล้ว
ขณะเฮ่อฮั่นจู่เพ่งตามองไป ซูเสวี่ยจื้อสลัดมือเขาออกแล้วส่งเสียงเรียกคุณลุง จากนั้นกระโดดขึ้นฝั่งสาวเท้าเร็วรี่ไปหาเยี่ยหรู่ชวน
“คุณลุง! คุณลุงตั้งใจมารับหนูหรือคะ ลำบากแย่เลย! คุณลุงรู้ได้อย่างไรว่าหนูมาถึงเวลานี้” ซูเสวี่ยจื้อคล้องแขนเยี่ยหรู่ชวนพลางถาม
ลุงรู้ได้อย่างไรน่ะหรือ ก็สองสามวันนี้มาเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด ซ้ำยังกลัวคนรู้จักเห็นแล้วจะเข้ามาชวนคุยถามโน่นถามนี่เลยต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนโจรขโมยอย่างไรอย่างนั้น มันไม่ง่ายหรอกนะสำหรับคนอายุปูนนี้
เยี่ยหรู่ชวนบ่นอุบอิบในใจ แต่หลังจากรออยู่หลายวันในที่สุดก็ได้ต้อนรับหลานสาว เขารู้สึกดีใจมากจนพูดไม่ออก เพียงมองสำรวจอีกฝ่ายไม่หยุด เห็นดวงตาของเธอเป็นประกายแวววาว สองแก้มอวบอิ่ม หน้าตาเปล่งปลั่งสดใส ดูท่าทางเหมือนจะร่าเริงมีชีวิตชีวากว่าเดิม เห็นชัดว่าอารมณ์ดีไม่เลว ไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวซุบซิบนินทาน่ากลัวก่อนหน้านี้ จิตใจที่เป็นกังวลอยู่ตลอดของเขาถึงผ่อนคลายลงมากกว่าครึ่ง ช่วงที่ผ่านมาเยี่ยหรู่ชวนมีคำพูดสุมแน่นเต็มอก แต่กลับไม่รู้จะเริ่มพูดจากอะไรก่อนในชั่วขณะ เวลานี้เองเขาเห็นเฮ่อฮั่นจู่เดินตามหลานสาวมาทางนี้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขานับเป็นญาติผู้พี่ของเฮ่อฮั่นจู่ แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว พอเห็นเฮ่อฮั่นจู่ยืนอยู่ตรงหน้ากำลังมองมาก็ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปาก ผงกหัวให้นิดหนึ่งแล้วเรียกทักทายยิ้มๆ ว่าผู้บัญชาการเฮ่ออย่างสุภาพแบบเดียวกับเมื่อก่อน
ตอนแรกเฮ่อฮั่นจู่คิดอยู่ว่าตอนนี้ควรจะเรียกขานเยี่ยหรู่ชวนว่าอะไรถึงเหมาะสม จะเรียกคุณลุงตามซูเสวี่ยจื้อเพื่อแสดงความใกล้ชิดไปเลยดีหรือไม่ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการละลาบละล้วง ขณะสองจิตสองใจอยู่กลับเห็นเยี่ยหรู่ชวนสุภาพกับเขาขนาดนี้ ไม่ใช่แค่นั้น เขายังจับน้ำเสียงในคำทักทายนั้นได้อย่างฉับไวว่าคลับคล้ายจะแฝงความห่างเหินไว้จางๆ จึงอดนิ่งขึงไม่ได้
ด้านเยี่ยหรู่ชวนกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ หันไปทักทายหวังหนีชิวทางด้านข้างต่อ จากนั้นจับมือหลานสาวไว้แน่นๆ ราวกับกลัวเธอหนีไป ยังสั่งให้เยี่ยต้ายกกระเป๋าเดินทางของเธอไปบนรถม้าทันที แล้วค่อยแย้มยิ้มบอกอย่างสุภาพ “ผู้บัญชาการเฮ่อ หัวหน้าสาม พวกคุณต่างก็มีงานรัดตัว คงยังมีธุระต่อ ผมไม่รบกวนแล้ว ผมแค่จะมารับเสวี่ยจื้อ ตอนนี้รับตัวมาแล้ว ผมขอไปส่งเธอกลับบ้านก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็ประสานมือคำนับพวกเขาแล้วไม่รอคำตอบ ฉุดซูเสวี่ยจื้อให้ออกเดินไปทางรถม้าพร้อมกับพูดว่า “แม่เธอเป็นห่วงเธอมาก เร็วเข้า กลับบ้านกับลุงก่อน แม่เธอจะได้สบายใจ”
ซูเสวี่ยจื้อจำต้องออกเดินตามแรงฉุดของคุณลุงไปอย่างจนใจ เธอมองเหลียวกลับไปเห็นเฮ่อฮั่นจู่ยืนอยู่ที่เดิม สองตาจับจ้องมองตามเธอ จึงดึงมือคืนแล้ววิ่งกลับไปหาเขา ก่อนจะบอกว่า “ฉันจะตามคุณลุงกลับบ้านไปสะสางปัญหาให้เรียบร้อยก่อน ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณไปเยี่ยมท่านหัวหน้าใหญ่ก่อนได้เลย แล้วรอฟังข่าวดีจากฉัน”
เฮ่อฮั่นจู่เป็นคนฉลาดขนาดไหน เขาย่อมรับรู้ได้ว่าคราวนี้ ‘ญาติผู้พี่’ คนนี้น่าจะไม่พอใจเขามาก ขืนดึงดันตามไปตอนนี้คงไม่เหมาะจริงๆ
เขาเพ่งมองเธอพลางพูดเสียงเบาๆ “ผมเข้าใจ ผมจะรอข่าวจากคุณนะ”
ซูเสวี่ยจื้อเห็นคุณลุงหยุดยืนอยู่ด้านข้างมองเฮ่อฮั่นจู่ทางหางตาด้วยสีหน้าระวังระไว เห็นได้ชัดว่ากำลังเงี่ยหูฟังเธอกับเขาคุยกัน เธอเลยส่งยิ้มให้เฮ่อฮั่นจู่ แล้วหมุนตัวเดินตามเยี่ยหรู่ชวนไปขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังตัวอำเภอ
หวังหนีชิวเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ที่เดิมมองส่งรถม้าแล่นจากไปโดยไม่ละสายตา ในใจจึงแอบขบขันว่าพวกคนหนุ่มสาวก็รักกันหวานซึ้งแบบนี้ ไม่อยากห่างจากกันแม้สักวินาทีเดียว แต่กลับปั้นหน้าขรึม เขากระแอมเบาๆ ก่อนเอ่ยเตือนขึ้น “ผู้บัญชาการเฮ่อครับ คุณหนูซูกลับบ้านไปแล้ว คุณแวะไปที่สมาคมชาวน้ำพักผ่อนสักครู่ก่อนดีไหมครับ”
เฮ่อฮั่นจู่ได้สติก็รู้ว่าเผลอตัวต่อหน้าคนอื่นไปแล้วจึงยิ้มเป็นเชิงกลบเกลื่อน เขาพยักหน้าตกลงแล้วตามหวังหนีชิวไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 พ.ค. 67