เยี่ยหรู่ชวนรู้สึกอับอายอยู่ในใจ เขาหยุดปากกะทันหันไม่พูดไม่จาอีก
เมื่อทางบ้านไม่เกิดปัญหาขึ้นเพราะเรื่องของเธอ ซูเสวี่ยจื้อก็คลายใจลง เธอจับน้ำเสียงกับสีหน้าของคุณลุงแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายยังไม่หายขุ่นใจที่เธอกับเฮ่อฮั่นจู่ปิดบังเรื่องนี้ จึงรีบพูดกลบเกลื่อนแทนชายคนรัก “คุณลุงอย่าเข้าใจผิดนะคะ ไม่เกี่ยวกับเขา”
เยี่ยหรู่ชวนแค่นเสียงฮึอย่างไม่คล้อยตาม “ไม่เกี่ยวกับเขา? หรือว่าเธอเป็นฝ่ายไปยุ่งกับเขา”
“คุณลุงพูดถูกต้องแล้วค่ะ” ซูเสวี่ยจื้อพยักหน้า “หนูชอบเขาก่อนจริงๆ อยากเป็นคนรักของเขา เขาหมดปัญญาถึงได้ตกลงปลงใจกับหนูค่ะ”
เยี่ยหรู่ชวนอึ้งงันไป
ซูเสวี่ยจื้อขยับเข้าไปทุบขาข้างที่เคยบาดเจ็บของเขาเบาๆ แล้วคลี่ยิ้มพูดต่อ “คุณลุงไม่เชื่อไม่ได้นะ ลองคิดดู ผู้ชายอย่างนั้นถ้าหนูปล่อยให้หลุดมือ วันหลังจะไปหาจากที่ไหนได้อีก”
เยี่ยหรู่ชวนมองหลานสาวอย่างพินิจครู่หนึ่ง เขาชี้หน้าเธอพลางโคลงศีรษะอย่างทอดถอนใจ “เจ้าเด็กคนนี้ทำไมถึง…”
สุดท้ายเขาก็ปั้นหน้าต่อไม่ไหว หัวเราะออกมาเองแล้วพูดรำพึงรำพัน “ก็จริงนะ ลุงขึ้นเหนือล่องใต้มาครึ่งค่อนชีวิต พบเจอผู้คนมากมาย แต่คนที่โดดเด่นอย่างหลานชายสกุลเฮ่อนับเป็นคนแรกจริงๆ”
“คุณลุงไม่โกรธแล้วใช่ไหมคะ” ซูเสวี่ยจื้อถามยิ้มๆ
เยี่ยหรู่ชวนปฏิเสธ “ลุงโกรธเมื่อไรกัน”
เธอถามต่อ “ถ้าคุณลุงไม่โกรธ เพราะอะไรเมื่อครู่ไม่ยอมให้หนูพูดกับเขาจนจบก็พาหนูกลับมาแล้วล่ะคะ”
เขาถอนใจเฮือกๆ “เด็กโง่เอ๊ย เป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักสงวนท่าทีบ้าง ในอำเภอของเรา บ้านไหนที่รักลูกสาวนะ ต่อให้พอใจครอบครัวฝ่ายชายแค่ไหน ตอนส่งคนมาทาบทามสู่ขอก็ต้องวางท่าเล่นตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรหรอก แค่อยากให้ครอบครัวฝ่ายชายรู้ว่าบ้านเราตัดใจให้ลูกสาวออกเรือนไม่ได้ วันหลังลูกสาวแต่งเข้าไปแล้วจะได้ไม่โดนดูถูก เธอจะใจร้อนไปทำไมนักหนา กลัวหลานชายสกุลเฮ่อจะหนีไปหรือ ก่อนหน้านี้พวกเธอเป็นอย่างไร ลุงไม่รู้หรอกนะ แต่ตอนนี้ลือกันจนอึกทึกครึกโครมแบบนี้ แล้วเรื่องของพวกเธอก็ยังไม่ได้ประกาศให้เป็นเรื่องเป็นราว ในเมื่อเธอกลับบ้านแล้ว ลุงไม่มารับเธอกลับบ้านเอง จะวางใจได้อย่างไร”
ตอนนี้เองเยี่ยต้าซึ่งนั่งควบรถม้าอยู่ด้านหน้าตะเบ็งเสียงบอกกะทันหัน “คุณชาย…เอ๊ย คุณหนูขอรับ คุณไม่ทราบหรอกว่าสองสามวันนี้นายท่านไม่ทำอะไรทั้งนั้น วันๆ เฝ้าอยู่ท่าเรือรอเรือกลไฟที่จะมาถึงไม่กี่ลำนั่น กลัวว่าจะพลาดไม่ได้รับคุณ แต่ก็กลัวจะเจอคนรู้จักมาถามเรื่องของคุณอีก ข้าวปลาอาหารก็กินแบบขอไปที ตอนกลางวันดื่มแค่น้ำชาในรถม้ากับเสบียงที่เอาติดตัวมาตอนเช้าไม่กี่คำ…”
เยี่ยหรู่ชวนด่าเยี่ยต้าว่าปากมาก เขาถึงได้หุบปาก แต่ซูเสวี่ยจื้อตื้นตันใจมาก “คุณลุงดีกับหนูจริงๆ หลายวันมานี้เพราะเรื่องของหนูทำให้คุณลุงตกใจเป็นห่วง ยังต้องพลอยลำบากไปด้วย”
เมื่อครู่นี้ได้ฟังคำอธิบายของหลานสาว อารมณ์ขุ่นข้องระคนวิตกกังวลในใจเยี่ยหรู่ชวนก่อนหน้านี้ก็หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงความปลาบปลื้มยินดี ดีใจกับหลานสาวและเยี่ยอวิ๋นจิ่นน้องสาวของตน เขาพูดยิ้มๆ “ลุงน่ะบากบั่นมาครึ่งชีวิต จะเพื่ออะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพื่อหวังว่าเธอกับเสียนฉีจะมีอนาคตไกล ตอนนี้เธอได้ดีอย่างนี้ ลุงดีใจแทบไม่ทันต่างหาก จะลำบากอะไรกัน อย่าไปฟังเยี่ยต้าพูดเหลวไหล”
บรรยากาศภายในรถม้าอบอุ่นเป็นสุข เยี่ยต้าควบรถม้าพาเยี่ยหรู่ชวนกับซูเสวี่ยจื้อไปถึงตัวอำเภอก่อนฟ้ามืดอย่างราบรื่นตลอดทาง
ยามเย็นเป็นเวลาที่ว่างมากที่สุดของวัน อีกทั้งท้องฟ้ายังสว่างอยู่ ขณะรถม้าเข้าสู่ตัวอำเภอโดยแล่นไปบนถนนที่มุ่งไปยังบ้านสกุลซูจึงตกเป็นเป้าสายตาของคนมากมาย แต่เยี่ยหรู่ชวนไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวถูกคนดึงตัวมาถามซอกแซกเหมือนก่อนหน้านี้อีก ตอนรถม้าไปถึงที่หมายแล้วหยุดจอดหน้าประตูใหญ่เขาลงมายืนเคียงข้างหลานสาว เดินเชิดหน้ายืดอกเข้าประตูไปด้วยกันท่ามกลางสายตาที่แอบมองอยู่ข้างหลังนับไม่ถ้วน
เยี่ยอวิ๋นจิ่นออกมารับลูกสาวด้วยตนเอง คนในบ้านก็ติดตามนายหญิงออกมาตั้งแถวต้อนรับตรงหน้าประตู ทว่าพอเห็นซูเสวี่ยจื้อปรากฏตัวในเครื่องแต่งกายของผู้ชายดุจเก่าทุกคนก็เบิ่งตาอ้าปากค้าง รอบด้านตกอยู่ในความเงียบ
ด้านหงเหลียนลอบถอนใจเฮือก เธออุตส่าห์สอนพวกเขาแล้วแท้ๆ แต่สอนไม่จำกันเลย เธอยื่นมือสะกิดเสี่ยวชุ่ยข้างตัว “คุณหนู! คุณหนูของพวกเรากลับมาแล้ว”
เสี่ยวชุ่ยเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เธอตะโกนพูดขึ้นฉับพลัน คนที่เหลือถึงพากันพูดเสียงดังตาม บรรยากาศเริ่มครึกครื้นรื่นเริงขึ้นทันใด
ซูเสวี่ยจื้อคลี่ยิ้มสวมกอดหงเหลียนที่ก้าวเท้าเล็กๆ กระย่องกระแย่งเข้ามากอดเธอพร้อมบ่นว่าผอมลง ยังเอ่ยทักทายพวกซูจง สุดท้ายค่อยหันไปทางเยี่ยอวิ๋นจิ่นที่ยืนนิ่งเงียบมองอยู่ตรงประตู เธอเดินเข้าไปคล้องแขนแม่ พูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “แม่คะ หนูกลับมาแล้วค่ะ”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นกะพริบตาเบาๆ ทีหนึ่งก่อนบอกเสียงเบา “เข้าบ้านเถอะ คงหิวแล้วกระมัง ไปกินข้าวกันได้แล้ว”
ฟ้ามืดแล้ว เยี่ยอวิ๋นจิ่นเชิญพี่ชายนั่งหัวโต๊ะและให้หงเหลียนร่วมโต๊ะด้วย ระหว่างคนทั้งครอบครัวนั่งล้อมวงกินอาหารร่วมกัน มีคนในบ้านเข้ามาบอกว่าอาหกสกุลซูกับภรรยามาหา เวลานี้อยู่ข้างนอก
ในบรรดาวงศาคณาญาติของสกุลซู ว่ากันถึงเกียรติยศและบารมีแล้วต้องยกให้อาหกคนนี้เป็นอันดับหนึ่ง
หงเหลียนหยุดพูดคุยยิ้มหัว มองไปทางนายหญิงของตน
เยี่ยอวิ๋นจิ่นวางตะเกียบลง บอกให้พี่ชายกับลูกสาวกินอาหารต่อไม่ต้องหยุดแล้วพูดว่า “ฉันไปดูว่าพวกเขาจะพูดอะไรกัน”