บทที่ 194
อาหกกับภรรยาไม่ได้เข้ามาทางประตูใหญ่ด้านหน้าแต่เป็นประตูข้าง ไม่ใช่ว่ายามเฝ้าประตูของบ้านสกุลซูไม่ให้พวกเขาเข้าทางประตูใหญ่ แล้วก็ไม่กล้าทำอย่างนั้นด้วย เพราะถึงอาหกไม่ใช่ประมุขตระกูล แต่เทียบกับคุณลุงสามที่แก่ชราหูตาฝ้าฟาง คำพูดของเขามีน้ำหนักมากกว่า นอกจากเป็นที่นับหน้าถือตาในอำเภอ ลูกชายของเขายังรับราชการอยู่ในเมืองเฉิงตูอีกด้วย
“…ตอนพวกเขามาก็เดินเข้าทางประตูเล็กเอง ทำท่าทำทางลับๆ ล่อๆ เหมือนกลัวใครเห็น ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร…”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นฟังแล้วไม่พูดจาตลอดทางจนเข้าสู่โถงรับแขก อาหกกับภรรยานั่งอยู่ข้างในพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ พอเห็นเธอย่างเท้าเข้ามา ทั้งคู่ก็สบตากันแวบหนึ่งแล้วหยุดพูดทันที
เธอถามพวกเขาว่ามีธุระอะไรแล้วบอกต่อว่า “พวกอาหกคงได้ยินแล้วว่าเสวี่ยจื้อเพิ่งมาถึงบ้านตอนเย็น ยังกินข้าวกันอยู่ พวกอาหกมาแล้ว ถ้าไม่รังเกียจจะไปกินด้วยกันไหม”
อาหกนั่งเฉยวางหน้าขรึม ฝ่ายอาสะใภ้หกมีใบหน้ายิ้มแย้ม เธอลุกขึ้นเดินไปคล้องแขนเยี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างสนิทสนม เอ่ยชมอีกฝ่ายก่อนว่าหน้าตาสดใส นับวันยิ่งสาวขึ้นทุกทีถึงพูดตอบว่า “พวกฉันกินข้าวจากบ้านมาแล้ว ที่มาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากพูดด้วยนิดหน่อย ไม่นึกว่าจะรบกวนเวลาของครอบครัวเธอ อย่าถือสากันนะ”
ใบหน้าเยี่ยอวิ๋นจิ่นเผยรอยยิ้มบางๆ “อาสะใภ้หกเกรงใจเกินไปแล้ว มีเรื่องอะไรก็เชิญพูดได้เลย”
“เมื่อครู่เธอพูดถึงเสวี่ยจื้อพอดี พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ไม่ต้องปิดๆ บังๆ กันแล้ว ขอบอกตามตรงว่าพวกฉันสองคนมาที่นี่เย็นนี้ก็เพราะเรื่องนั้นของเสวี่ยจื้อ…” อาสะใภ้หกหยุดเว้นจังหวะ ชายตามองรอให้เยี่ยอวิ๋นจิ่นพูด แต่ไม่เห็นอีกฝ่ายตอบสนองใดๆ ยังอมยิ้มมองเธอเหมือนเดิม จึงกล่าวต่ออย่างจนใจ “เสวี่ยจื้อเป็นผู้หญิงแท้ๆ เธอกลับบอกว่าเป็นลูกชายมาตั้งแต่เล็ก หลายวันนี้ใครๆ ในอำเภอพากันพูดถึงเรื่องนี้กันทั่ว ซึ่งก็ช่างเถอะ แต่เธอปิดบังแม้แต่ญาติพี่น้องอย่างพวกฉัน สำหรับเรื่องนี้ฉันไม่ได้จะยกตัวเป็นผู้ใหญ่มาว่ากล่าวหรอกนะ ตอนนั้นเธอคิดอะไรไม่รอบคอบจริงๆ จะโทษที่ตอนนี้คนในตระกูลเราข้องใจกันยกใหญ่ไม่ได้…”
อาสะใภ้หกจับสังเกตสีหน้าของเยี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่ “เมื่อคืนพวกผู้อาวุโสในตระกูลไปที่บ้านลุงสามเพื่อประชุมกัน ทุกคนไม่พอใจมาก บอกว่าเรื่องนี้ของครอบครัวเธอกลายเป็นเรื่องตลกของคนทั้งอำเภอไปแล้ว ทำให้ตระกูลเราต้องอับอายขายหน้าไม่ว่า กระทั่งพวกฉันที่เป็นญาติพี่น้องออกไปข้างนอกยังโดนคนชี้นิ้วนินทาไปด้วย เธอทำเรื่องแบบนี้จะมองว่าเป็นเรื่องผิดเล็กน้อย แค่ละเมิดกฎตระกูล ทำให้ผังลำดับเครือญาติยุ่งเหยิงวุ่นวายก็ได้ แต่มองในอีกมุมหนึ่งก็เป็นความผิดร้ายแรงเข้าขั้นผิดจริยธรรมของชายหญิงเชียวนะ ถ้าจะเอาเรื่องจริงๆ ขึ้นมาต้องรับโทษหนักเลยทีเดียว”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้าหงึกหงัก “ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าเมื่อคืนประชุมกันแล้วได้ข้อสรุปอะไรหรือยัง ตั้งใจจะเอาอย่างไร จะตัดครอบครัวพวกฉันสายนี้ออกจากวงศ์ตระกูลไปเลยไหม หรือว่าจะส่งตัวให้ทางการสอบปากคำ ฉันอาจจะผ่านโลกมาน้อย แต่ดูเหมือนตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีกฎหมายข้อไหนกำหนดว่าห้ามเลี้ยงลูกสาวในครอบครัวแบบผู้ชาย หรือในยุคสาธารณรัฐใหม่มีข้อนี้เพิ่มขึ้น”
อาหกยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง อาสะใภ้หกมองสามีแวบหนึ่งแล้วรีบพูดขึ้น “เธอไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนลุงสามโกรธแทบลมจับ ส่วนญาติคนอื่นๆ ก็เป็นเดือดเป็นแค้นไม่น้อยหน้ากว่ากัน พากันตำหนิเธอหมด เสนอให้ทำตามกฎของตระกูลอย่างเคร่งครัด ประกาศตัดญาติกัน ทุกคนจะรับช่วงกิจการของครอบครัวพวกเธอ…”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นมองไปทางอาหกเหมือนกัน “ที่แท้อาหกมาคืนนี้ก็เพื่อจะรับช่วงกิจการห้างค้ายาสมุนไพรเทียนเต๋อเองหรือ”
อาสะใภ้หกพูดตัดพ้อทันที “อวิ๋นจิ่น เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว! ฉันกับอาหกของเสวี่ยจื้อไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้ ตรงกันข้าม พวกฉันหวังดีกับพวกเธอ บอกตรงๆ นะ เมื่อคืนทะเลาะกันจนตอนหลังอาหกของเสวี่ยจื้อเป็นคนลุกขึ้นคัดค้านหัวชนฝาว่าทำแบบนี้กับพวกเธอไม่ได้ คิดไปถึงสมัยนั้นตอนพ่อของเสวี่ยจื้อจากไปแล้ว เธอเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว ต้องรับภาระดูแลครอบครัวคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ที่หาทางออกด้วยวิธีนี้ก็เพราะความจำเป็นบังคับ ถึงจะพูดว่าละเมิดกฎตระกูล แต่มีเหตุผลอภัยให้ได้ ยิ่งกว่านั้นตลอดหลายปีมานี้ทุกครั้งที่ในตระกูลมีปัญหาต้องใช้เงินกองกลาง มีหนไหนบ้างที่เธอไม่ได้ลงขันเยอะที่สุด จะลืมความดีของเธอไม่ได้”
อาหกที่ไม่พูดอะไรโดยตลอดส่งเสียงกระแอมขึ้น เขาลุกขึ้นช้าๆ ย่างเท้าเนิบนาบอย่างผึ่งผายเดินมา ใบหน้าประดับรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตร “ก็เพราะเหตุผลนี้นี่ล่ะ ตอนหลังถึงหยุดเสียงทะเลาะโวยวายเมื่อคืนไปได้ในที่สุด พวกเขาไม่กล้าซักไซ้ไล่เลียงอะไรอีกแล้ว เธอวางใจได้ มีฉันอยู่ วันหลังถ้ามีใครกล้ายกเรื่องนี้มาสร้างความลำบากใจให้พวกเธออีก เธอมาหาฉันได้เลย ที่พวกฉันมาเย็นนี้ก็เพราะหวังดี อยากเตือนเธออีกทีก็เท่านั้นเอง”