คราวนี้เยี่ยหรู่ชวนโมโหแล้วจริงๆ เขากระแทกตะเกียบกับพื้นโต๊ะ “แกเชื่อข่าวลือประเภทนี้ด้วยหรือ ปั้นน้ำเป็นตัว ใส่ร้ายป้ายสี! ขืนแกพูดจาส่งเดชอีก ฉันไม่เอาแกไว้แน่”
เยี่ยเสียนฉีพูดเสียงอ่อย “ผมไม่ได้เป็นคนพูดเองสักหน่อย…”
เยี่ยอวิ๋นจิ่นกลัวพี่ชายกับหลานชายจะขัดแย้งกันโดยใช่เหตุจึงรีบพูดแทรกขึ้น “ตอนนี้สุขภาพของหลานชายสกุลเฮ่อเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนจะหายเป็นปกติแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมาไม่ถึงวันนี้หรอก ของขวัญที่ให้ซูจงเอาไปเยี่ยมเยียนเขาหนนี้ ฉันเลยไม่ได้จัดพวกสมุนไพรอย่างเขากวางหรือถั่งเช่า ลงไปด้วยนะ ประเดี๋ยวเขาจะนึกว่าเราแช่ง”
เธอถอนใจเฮือกอีกครั้ง “ฉันจำได้ว่าพ่อของเขาด่วนจากไป เห็นว่าได้นายท่านใหญ่อบรมเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นคนสกุลเฮ่อติดคุกกันหมด แต่ไม่มีข่าวคราวของเขากับน้องสาว คงถูกส่งตัวไปที่อื่นพร้อมกัน ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะ ตอนนั้นเพิ่งสิบกว่าขวบยังต้องดูแลน้องสาวด้วย เขามีวันนี้ได้ไม่รู้ว่าต้องลำบากมามากขนาดไหน ว่าไปแล้วถึงเมื่อก่อนฉันจะไปเยี่ยมเยียนที่สกุลเฮ่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาเลย จำได้แค่ว่านายหญิงเฮ่อสงสารที่เขาร่างกายอ่อนแอ เลยไม่ยอมให้โดนลมนานๆ ได้ยินว่าเขาไม่ค่อยออกไปไหน เก็บตัวอยู่ในบ้านเรียนหนังสือนานหลายปี ปกติก็ไม่ค่อยพบคนนอก”
เยี่ยหรู่ชวนหันไปสนใจเรื่องที่น้องสาวพูดขึ้นและเริ่มคุยจ้อจนลืมลูกชายไปเลย “มีหนหนึ่งฉันเอาโสมแก่จากเขาฉางไป๋ที่นายท่านใหญ่สั่งจองไว้สองต้นไปส่งให้ ถึงได้เห็นแวบหนึ่งตอนเขาอยู่กับนายท่านใหญ่ ตอนนั้นเขากำลังย่างเข้าวัยแรกรุ่น เป็นเด็กมีบุญ ถึงจะพูดว่าสุขภาพไม่ค่อยดีมาแต่เกิด แต่ได้ยินว่าฉลาดหัวดีและใฝ่เรียน นายท่านใหญ่ตั้งความหวังในตัวหลานชายไว้มาก ตอนนั้นฉันเห็นเขาก็คิดแล้วว่าเด็กคนนี้รักดี ต้องประสบความสำเร็จแน่ ตอนนี้มาดูอีกที ฉันมองคนไม่ผิดจริงๆ”
ซูเสวี่ยจื้อนิ่งฟังคุณลุงกำลังคุยโวทีหลังอยู่เงียบๆ แต่ไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะถามเธอ “เสวี่ยจื้อ ตอนเธอกับเสียนฉียังเป็นเด็ก จำได้ไหมว่ามีปีใหม่อยู่ปีหนึ่ง ลุงพาพวกเธอไปบ้านสกุลเฮ่อ นายท่านใหญ่ยังให้ซองแดงพวกเธอ บอกให้ขยันเรียนหนังสือ เธอยังจำได้ไหม”
“เรื่องเก่าขนาดนั้น ใครยังจำได้…” เยี่ยเสียนฉีพูดตอบเสียงเบาๆ
“ไม่ได้ถามแก” เขาพูดอย่างหัวเสีย
ซูเสวี่ยจื้อเค้นสมองขบคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า เธอนึกเรื่องเคยไปสกุลเฮ่อไม่ออกเลยสักนิดจริงๆ
ลูกสาวสกุลซูน่าจะเป็นเหมือนเยี่ยเสียนฉีที่ลืมไปตั้งนานแล้ว
คุณลุงดูจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเขาก็พูดยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรหลังไปถึงแล้วก็นับญาติสายนี้กันใหม่อีกครั้ง ถ้าเข้าเรียนได้สำเร็จก็ตั้งใจเล่าเรียน จะได้เชิดหน้าชูตาให้แม่เธอ”
ซูเสวี่ยจื้อคนเดิมคงไม่ได้มีเป้าหมายจะเรียนแพทย์ ประกอบกับผลกระทบจากความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก เป็นเหตุให้ผลการเรียนก่อนหน้านี้ไม่ดีเท่าที่ควร กระนั้นเยี่ยหรู่ชวนกลับไม่กังวลใจว่าเธอจะเข้าเรียนไม่ได้
ในเมื่อเฮ่อฮั่นจู่ออกปากบอกให้เธอไปเอง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนัก
ซูเสวี่ยจื้อเหลือบตาขึ้นเห็นแม่กำลังมองตนเองอยู่ พอประสานสายตากันเธอกลับหลุบตาลง หยิบถ้วยน้ำชาเชวี่ยเสอ ที่ป้าอู๋เพิ่งยกมาใหม่ขึ้นจิบคำหนึ่ง
หญิงสาวพยักหน้า “คุณลุงวางใจได้ หนูทราบแล้วค่ะ”
เมื่องานเลี้ยงภายในครอบครัวจบลง เดิมซูเสวี่ยจื้อคิดจะตามเยี่ยอวิ๋นจิ่นไปส่งเยี่ยหรู่ชวนกลับห้อง แต่เขาพูดกับเธอว่าพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้าให้เธอรีบเข้านอนไวๆ เธอจึงทำตามที่เขาบอก เพียงมองส่งเยี่ยอวิ๋นจิ่นกับเยี่ยเสียนฉีประคองเขาแยกไป ตนเองถึงกลับห้องเหมือนกัน
การเดินทางจากบ้านต้องนำข้าวของสัมภาระติดตัวไปด้วย หงเหลียนกับป้าอู๋ช่วยจัดกระเป๋าเสื้อผ้าให้เธอเสร็จแล้ว เธอไม่ต้องคิดอะไรเองเลย แค่รอออกเดินทางวันพรุ่งนี้เป็นพอ
พอปิดประตูห้อง เรื่องแรกที่เธอทำคือแก้แถบผ้ารัดอกออกแล้วพ่นลมหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง
อะไรๆ ก็ดีอยู่หรอก แต่การต้องรัดอกจนแน่นขนาดนี้ เธอยังไม่ค่อยคุ้นเคย
ชีวิตของซูเสวี่ยจื้อเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ
เพิ่งวางแถบผ้ารัดอกลง เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นด้านนอก
ซูเสวี่ยจื้อรีบหยิบแถบผ้ารัดอกขึ้นมาอีกแล้ววิ่งผลุบเข้าไปหลังม่าน
ยามนี้เองมีคนเคาะประตู
“ใคร” เธอยื่นหน้าออกจากข้างหลังผ้าม่าน
“แม่เอง”
เยี่ยอวิ๋นจิ่น…