การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งตอนบ่ายวันถัดมา คนทั้งกลุ่มก็มาถึงตัวเมืองของเมืองซวี่
ในเมืองผู้คนพลุกพล่านหนาแน่น ตรงท่าเรือใหญ่ริมแม่น้ำมีเรือแล่นสวนกันขวักไขว่ เรือบรรทุกสินค้าฝรั่งหลายลำเพิ่งเคลื่อนเข้าเทียบท่าตามลำดับ บนฝั่งพวกกรรมกรแบกหามเปลือยกายท่อนบนเหงื่อไหลไคลย้อย ขนสินค้านานาชนิดเข้าๆ ออกๆ อย่างรวดเร็วทะมัดทะแมง
ผู้ดูแลของห้างเดินเรือฝูเฉวียนมารอที่ท่าเรือด้วยตนเองแต่แรก เห็นพวกเขามาถึงก็รีบพาไต้ก๋ง* เข้าไปต้อนรับ
สกุลซูกับสกุลเยี่ยเป็นลูกค้ารายใหญ่ของห้างเดินเรือฝูเฉวียน มักจ้างพวกเขาขนส่งสินค้าเสมอ หนนี้จะส่งนายน้อยไปอีกที่หนึ่ง แม้จะเป็นเวลาไม่กี่วัน ผู้ดูแลก็ไม่กล้าคิดเถลไถลไม่ตรงไปตรงมา จัดเรือลำที่ดีที่สุดพร้อมด้วยหัวหน้าลูกเรือมือฉมังที่สุด
ผู้ดูแลไต่ถามทุกข์สุขกับซูจงเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปทางซูเสวี่ยจื้อกับเยี่ยเสียนฉีทันที เขาโค้งคำนับเรียกทั้งคู่ว่านายน้อยและกล่าวทักทายทีละคนอย่างอ่อนน้อม
เยี่ยเสียนฉีชี้ไปข้างหน้ากะทันหันพลางพูด “เอ๊ะ นั่นท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้งไม่ใช่เหรอ เขาช่วยพ่อฉันไว้ ฉันต้องไปขอบคุณเขาสักหน่อย”
ซูเสวี่ยจื้อมองไปทางที่ญาติผู้พี่ชี้บอก
ตรงสะพานเทียบเรืออีกจุดทางด้านหน้าห่างไปหลายสิบก้าว มีคนเดินมาหลายคน เสียงพวกคนงานกับเจ้าของเรือที่อยู่รอบๆ พากันเข้าไปทักทายคนที่อยู่ตรงกลางว่า ‘ท่านหัวหน้าใหญ่ๆ’ ดังมาไม่ขาดหู สีหน้าสีตาพินอบพิเทาอย่างยิ่ง
ผู้ชายคนนั้นมีรูปร่างกระชับแข็งแรง แก้มซ้ายมีแผลเป็นรอยหนึ่ง แต่เพราะผิวพรรณดำคล้ำ ทำให้ดูไม่สะดุดตาเท่าไร เขามีอายุเกินครึ่งร้อยแล้ว แต่แผ่นหลังยังเหยียดตรงแหน็ว
ราชวงศ์ชิงในอดีตล่มสลายไปหลายปีแล้ว แต่คนในวัยนี้ส่วนใหญ่ยังไว้ผมเปียตรงท้ายทอยไม่ยอมตัดทิ้งจนบัดนี้ คงคิดว่าดีไม่ดีวันใดวันหนึ่งราชวงศ์ชิงจะกลับมาอีกครั้งก็เป็นได้
แต่เขาคนนี้กลับตัดผมสั้นกุด เส้นผมแข็งๆ ตั้งขึ้น จอนสองข้างเป็นสีขาวอมเทา แต่งกายด้วยชุดแบบเดียวกับคนงาน มองปราดแรกแทบไม่ผิดแผกจากพวกกุลีแบกหามและลูกเรือที่รุมกันเข้าไปคำนับทักทายรอบตัวเขาใต้แสงอาทิตย์
ทว่าแววตาของคนผู้นี้ทำให้ซูเสวี่ยจื้อสัมผัสได้ถึงความแตกต่างในทันที
ทั้งที่อยู่ในระยะไม่นับว่าใกล้ เธอกลับคล้ายสัมผัสถึงบางอย่างที่แผ่มาจากดวงตาของอีกฝ่ายได้…แต่ไม่ใช่ความรู้สึกแรงกล้าที่ก้าวร้าวคุกคาม
มันเหมือนกับนัยน์ตาของพรานเฒ่าจากป่าลึกที่จะเก็บงำประกายคมปลาบไว้มิดชิด หากแต่ยังแฝงไว้ด้วยอำนาจบารมีอยู่ลึกๆ
ซูเสวี่ยจื้อรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร
เขาคือ ‘ท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้ง’ ที่ช่วยคุณลุงของเธอไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อนคนนั้น
แน่นอนว่าไม่มีทางที่เธอจะรู้สึกไม่พอใจเขา
และอย่างที่ญาติผู้พี่พูดไว้ ต้องไปขอบคุณเขาสักหน่อย
ทว่าชั่วพริบตาที่เห็นเขา ในใจเธอกลับเกิดความรู้สึกคล้ายๆ การต่อต้านพลุ่งขึ้นมาฉับพลัน
แม้ว่าความรู้สึกนี้จะผุดขึ้นมาวูบเดียว แต่ซูเสวี่ยจื้อก็เข้าใจได้รางๆ ในชั่วอึดใจ
ความรู้สึกนี้น่าจะมาจากจิตใต้สำนึกของเธอ…ซูเสวี่ยจื้อคนเดิมไม่ชอบ ‘ท่านหัวหน้าใหญ่สกุลเจิ้ง’ คนนี้
อีกฝ่ายเบนสายตามาทางนี้และมองเห็นเธอแล้วเหมือนกัน
หญิงสาวสังเกตเห็นว่าเขาเหมือนชะงักไป ฝีเท้าผ่อนช้าลงอย่างลังเล ไม่ได้เดินมาใกล้ขึ้นอีก
ซูจงแหงนคอมองฟ้าแวบหนึ่ง “แดดแรง นายน้อยเข้าไปในเรือก่อนเถอะ อย่าตากแดดเลยขอรับ”
ซูเสวี่ยจื้อรู้ว่าเขาอยากให้เธอปลีกตัวไป
เธอไม่ต้องการทำให้ซูจงลำบากใจจึงยอมลงเรือ หลังจากเข้าไปในเรือ เธอก็ยืนพิงหน้าต่างมองซูจงพาเยี่ยเสียนฉีเดินลิ่วๆ ไปหาคนที่อยู่ข้างหน้านั่น
แม้เยี่ยเสียนฉีจะนิยมความเป็นตะวันตก แต่ตอนเด็กๆ คงได้รับการอบรมเรื่องมารยาทอันพึงมีจากคุณลุงมาไม่น้อย เขาประสานมือแสดงความขอบคุณอย่างถูกต้องเป็นพิธีรีตอง
ซูจงพูดขึ้นเช่นกัน “ท่านหัวหน้าใหญ่ขอรับ วันนี้ได้พบท่านสักที ครั้งก่อนผมไปเยี่ยมคารวะขอบคุณ แต่ท่านไม่อยู่เลยไม่มีบุญได้พบหน้าท่าน หากคราวที่แล้วไม่ใช่ท่านช่วยไว้ เกรงว่านายท่านของเราคงไม่ได้กลับมาง่ายๆ บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ไม่มีวันตอบแทนได้หมด พวกผมทั้งสองตระกูลล้วนซาบซึ้งใจต่อท่านหัวหน้าใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดขอรับ” ว่าแล้วก็โค้งคำนับอย่างนอบน้อม
คนแซ่เจิ้งเอาสองมือรองข้อศอกของซูจงไว้ เขารับรู้ได้ทันทีว่ามีพลังที่มองไม่เห็นดันท่อนแขนสองข้างไว้ ถึงอยากจะโค้งตัวต่ำลงอีก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็กดตัวลงไม่ได้
พอเห็นเขาไม่ยอมรับการคำนับ ซูจงจึงได้แต่หยุดเท่านี้