ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างอัศจรรย์ใจ
ซูเสวี่ยจื้อยังมีความทรงจำเก่าอยู่เลยรู้แต่แรกว่าเหตุใดวันที่เกิดเรื่องขึ้นกับคุณลุง ญาติผู้พี่ของตนคนนี้ถึงโผล่มาอย่างประจวบเหมาะ
เพราะว่าตอนนั้นเขาไม่ได้กลับจากตงหยางพอดี แต่เขากลับมาตั้งนานแล้วต่างหาก
เรื่องของเรื่องคือเมื่อตอนสัปดาห์ที่ซูเสวี่ยจื้อปิดภาคเรียน หลังเลิกเรียนเธอก็ออกจากวิทยาลัยกลับไปยังบ้านของคุณลุงที่เธอพักอยู่ ครั้นผ่านโรงรับจำนำแห่งหนึ่งกลับบังเอิญเห็นญาติผู้พี่ซึ่งควรจะอยู่ที่ตงหยางเดินออกมา ท่าทางเขาเหมือนเพิ่งเอาบางอย่างไปจำนำ
ขณะนั้นเธอประหลาดใจอย่างยิ่งยวด
เยี่ยเสียนฉีอธิบายว่าภาคเรียนนี้ของเขาปิดเรียนล่วงหน้า เขากลับจากตงหยางเมื่อหลายวันก่อน แต่คุณลุงจะจับเขาแต่งงาน เขาคัดค้านหัวชนฝาไม่อยากกลับบ้านเลยขออาศัยอยู่บ้านเพื่อนตอนนี้ ทีนี้เงินตึงมือนิดหน่อยเลยต้องจำนำนาฬิกาพกไปเมื่อครู่ และขอให้ซูเสวี่ยจื้อช่วยเก็บเป็นความลับ อย่าบอกพ่อเขาเป็นอันขาด
ซูเสวี่ยจื้อรับปากทันที เธอพาเขาไปเลี้ยงอาหารและยังยอมให้เขายืมเงินแก้ขัดไปก่อนด้วย ตอนกินข้าว เธอพูดปรับทุกข์กับเขา เล่าว่าตนเองชื่นชอบชายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อว่าฟู่หมิงเฉิง เขาไปเรียนต่อที่ตงหยางเมื่อปีก่อนแล้วกลับมาสอนหนังสือในวิทยาลัยของเธอ
ดูเหมือนคุณฟู่จะเป็นคนเหนือ เขาเรียนต่อที่ตงหยางด้านการแพทย์ หลังจากกลับมา เขาสามารถอยู่ในเมืองใหญ่ที่เจริญกว่าในทุกๆ ด้าน แต่เขามีปณิธานแทนคุณแผ่นดิน อยากพัฒนาการแพทย์ตะวันตกให้ก้าวหน้าภายในประเทศ พอรู้ว่าการเรียนการสอนด้านการแพทย์ตะวันตกตามเมืองเล็กๆ ห่างไกลยังล้าหลังและขาดแคลนครูผู้สอน เขาจึงตอบรับคำเชิญไปเป็นอาจารย์โดยไม่ลังเล และเริ่มสอนหนังสือในวิทยาลัยแพทย์ตะวันตกที่ซูเสวี่ยจื้อเรียนอยู่ก่อนหน้านี้
คุณฟู่หนุ่มแน่นสง่าผ่าเผย กิริยามารยาทงดงามในทุกอิริยาบถตามแบบฉบับของลูกผู้ดีมีตระกูล
ว่ากันว่าเขามาจากตระกูลใหญ่ทางเหนือ มีฐานะร่ำรวยสูงศักดิ์ แต่ตัวเขากลับไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
เขามีความรู้ความสามารถรอบตัว นอกจากสอนวิชาแพทย์แล้ว ยังสอนวิชาพลศึกษาควบด้วย ปกติเขาจะชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักเรียนมาก พวกนักเรียนชอบเขากันทั้งนั้น เขาเห็นคะแนนสอบของซูเสวี่ยจื้อรั้งท้ายก็เป็นห่วงว่าเธอจะมีปัญหาเรียนไม่จบ ทั้งยังเสนอตัวช่วยกวดวิชาให้ และพูดให้กำลังใจเธอให้ตั้งใจเรียน วันหน้าจะได้เป็นหมอช่วยเหลือบ้านเมือง
คุณฟู่นั้นแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจเธอที่เป็นนักเรียนตามประสาคนเป็นอาจารย์ ทว่าซูเสวี่ยจื้อเป็นสาวแรกรุ่นอยู่ในวัยเพ้อฝันพอดี พอคลุกคลีกันบ่อยๆ เข้าจึงเกิดความรักขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ครั้นคิดถึงสถานะที่ผิดจากทั่วไปของตนเอง และแม่ที่เผด็จการไร้ความเห็นอกเห็นใจแบบหัวหน้าครอบครัวยุคศักดินาที่สมควรโดนล้มล้างไปได้แล้ว แต่ตัวเธอกลับได้แต่ยอมจำนน สุดท้ายซูเสวี่ยจื้อพูดบ่นว่าเธอทนไม่ไหวแล้ว ตัดสินใจแน่วแน่ว่าหยุดเรียนกลับบ้านไปครั้งนี้จะคุยเปิดอกกับแม่ ขอกลับมาอยู่ในสถานะผู้หญิง
เธอคาดเดาได้ว่าแม่ไม่มีทางเห็นด้วยง่ายๆ เลยบอกให้เขากลับไปเป็นเพื่อนช่วยกันพูดให้แม่เธอเข้าใจเหตุผล
เยี่ยเสียนฉีอยากยืมเงินจึงหลับหูหลับตารับปากทันที แต่พอตามเธอกลับไปยังไม่ถึงประตูเมืองก็เริ่มใจฝ่อ หาข้ออ้างพูดหว่านล้อมญาติผู้น้องให้ล้มเลิกความคิด
ทว่าผู้หญิงที่ตกอยู่ในห้วงรักมักกล้าหาญเป็นพิเศษ
ซูเสวี่ยจื้อซึ่งตั้งใจไว้แน่วแน่แล้วขุ่นเคืองที่เขาถอดใจกลางคันจึงกลับไปเองคนเดียวโดยไม่รีรอ ทำให้เกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงทั้งหมดตามมา
เขาคิดไม่ถึงว่าญาติผู้น้องกับคุณอาจะทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้ ตอนได้ยินว่านายน้อยสกุลซูกระโดดน้ำตาย เขาก็ใจคอไม่ดี วนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่นอกบ้านสกุลซูหนึ่งวัน จนวันที่สองได้ยินว่าเธอไม่เป็นอะไรถึงโล่งใจในที่สุด แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็ได้ข่าวว่าเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว คราวนี้เป็นพ่อของเขาเจอโจรป่าระหว่างทางมาที่นี่ เขาหลบหน้าต่อไปไม่ได้แล้ว ถึงได้ออกมาปรากฏตัวในวันนั้น
เวลานี้ทั้งสองออกเดินทางมาด้วยกัน เขาก็กลัวว่าญาติผู้น้องยังโกรธตนเองอยู่ หลายวันก่อนเขาลอบสืบข่าวให้เธอแล้วเลยบอกข่าวให้ฟังเป็นเชิงอวดอยู่สักหน่อย นึกว่าญาติผู้น้องจะต้องดีใจมาก แต่เธอกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ แค่ส่งเสียงตอบในลำคออย่างเฉยเมย ส่งผลให้เขายิ่งแน่ใจว่าเธอยังเคืองตนเองอยู่ เขาพูดจึงอย่างประจบเอาใจ “เสวี่ยจื้อ เธอเก่งมากเลย ถึงกับคิดวิธีขู่คุณอาแบบนั้นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเปลี่ยนใจเอง ฉันว่าคุณอาต้องพยักหน้าแล้ว…”
จู่ๆ เขาก็ทำท่าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว “ฉันรู้แล้ว! คงไม่ใช่ว่าเธอได้ข่าวคุณฟู่จะไปสอนหนังสือที่เมืองเทียนเหมือนกันถึงได้เปลี่ยนความคิดหรอกนะ”
ซูเสวี่ยจื้อชักรำคาญที่เขาพล่ามไม่หยุด พูดซ้ำๆ ซากๆ เหมือนยายแก่ อีกทั้งเป็นเรื่องที่เธอไม่สนใจอยากฟังเลย เธอเลยทำเสียงเออออตอบอย่างขอไปที จากนั้นนั่งพิงหลังบนเตียงด้านข้าง หยิบหนังสือเรียนวิชาการแพทย์สมัยใหม่ที่นำติดตัวมาเริ่มเปิดอ่าน
เยี่ยเสียนฉีมั่นใจในการคาดเดาของตนเองมากขึ้น ไม่เช่นนั้นญาติผู้น้องจะเปลี่ยนความคิดกะทันหันได้อย่างไร
ครั้นนึกถึงว่าช่วงก่อนหน้านี้ตนเองต้องวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อสืบข่าว เขาก็รู้สึกเซ็งๆ อย่างช่วยไม่ได้เหมือนคนตาบอดจุดเทียนอย่างเสียเปล่า พอเห็นญาติผู้น้องเริ่มอ่านหนังสือโดยไม่สนใจตนเอง เขาจึงเอนตัวลงนอนหงายอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามแล้วบิดขี้เกียจอย่างเบื่อหน่าย
“เฮ้อ…เรือลำนี้แคบเท่าแมวดิ้นตายเลย อยากเปลี่ยนไปนั่งเรือกลไฟเร็วๆ เสียจริง”